Showing posts with label ปลูกป่า. Show all posts
Showing posts with label ปลูกป่า. Show all posts

Saturday 30 October 2021

การปลูกกาแฟแบบดั้งเดิมเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม

การปลูกกาแฟแบบดั้งเดิมเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม
















Shade-grown Coffee : การปลูกกาแฟใต้ร่มเงาไม้ใหญ่

ในอดีต การปลูกกาแฟจะทำในร่มเงาของต้นไม้ภายในป่า (แบบวนเกษตร) ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์และแมลงทั้งหลาย ทฤษฎีนี้มักจะเป็นไปตามทฤษฎีแบบดั้งเดิม ในปัจจุบันเกษตรกรจำนวนมากได้เปลี่ยนไปใช้วิธีการปลูกต้นกาแฟแบบทันสมัย โดยการใช้แสงอาทิตย์ในการปลูกต้นกาแฟ ซึ่งต้นกาแฟจะถูกปลูกเรียงกันเป็นแถวอยู่ใต้แสงอาทิตย์โดยมีป่าร่มเงาเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย การปลูกแบบใหม่นี้ทำให้เมล็ดกาแฟสุกเร็วขึ้นและให้ผลผลิตมากขึ้น แต่การปลูกแบบดังกล่าวจำเป็นต้องตัดต้นไม้ ใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงจำนวนมาก อีกด้านหนึ่ง การปลูกต้นกาแฟแบบดั้งเดิมจะทำให้เมล็ดกาแฟสุกช้ากว่าการปลูกต้นกาแฟแบบใหม่และให้ผลผลิตน้อยกว่า แต่จะให้เมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพสูงกว่า

นอกเหนือจากนั้น ทฤษฎีดั้งเดิมยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสามารถเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยในกับสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก นักวิชาการทางด้านการปลูกกาแฟแบบใหม่กล่าวว่าปัญหาสิ่งแวดล้อม อย่างเช่น การตัดไม้ทำลายป่า มลภาวะที่เกิดจากยาฆ่าแมลง การทำลายที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า การเสื่อมคุณภาพของดินและน้ำ ดังนั้นนักวิชาการพบว่าเราต้องใช้กาแฟเป็นเครื่องมือในการอนุรักษ์ป่าได้ แทนที่จะปล่อยให้กาแฟกลายเป็นพืชกินป่าเช่นเดียวกับพืชเศรษฐกิจอื่นๆ กุญแจสำคัญอยู่ที่การย้อนกลับไปสู่วิถีการปลูกแบบดั้งเดิมและทำความเข้าใจ

เป็นที่ทราบกันดีว่าสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการปลูกกาแฟก็คือภูมิอากาศแบบเขตร้อนตามแนวเส้นศูนย์สูตร ราวเส้นละติจูด 25 องศาเหนือลงมาถึงเส้นละติจูด 30 องศาใต้ ทุกวันนี้มีประเทศที่ปลูกกาแฟเชิงพาณิชย์กว่า 50 ประเทศทั่วโลกกระจายอยู่ตามเส้น Coffee Belt หรือ The Bean Belt - between latitudes 25 degrees North and 30 degrees South.

ประเทศที่ผลิตกาแฟมากที่สุดห้าอันดับแรกตามข้อมูลปีล่าสุดได้แก่ บราซิล เวียดนาม โคลัมเบีย อินโดนีเซีย และเอธิโอเปีย จะเห็นว่าล้วนแล้วแต่เป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงติดอันดับโลกทั้งสิ้น

กาแฟป่าปลูกภายใต้ร่มเงาไม้ใหญ่

ในธรรมชาติกาแฟเป็นพันธุ์ไม้ที่พบในป่าดิบ ตั้งแต่นั้นมนุษย์จึงเริ่มนำกาแฟมาทำเป็นเครื่องดื่ม จนกลายมาเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่สุดของโลก โดยธรรมชาติกาแฟจึงเป็นพืชที่ทนแสงแดดจัดไม่ได้และเติบโตอยู่ใต้ร่มไม้ในสภาพดินที่มีความชุ่มชื้น ป่าที่มีโครงสร้างพรรณไม้สลับซับซ้อนย่อมเอื้อต่อการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะนกนานาชนิด ต้นกาแฟที่ขึ้นอยู่ในป่าจึงไม่มีปัญหาเรื่องแมลงเลย เพราะมีกลุ่มนกกินแมลงคอยควบคุมศัตรูพืชให้ วิธีการปลูกกาแฟแบบดั้งเดิมจึงเป็นการปลูกต้นกาแฟแซมในป่าและปล่อยให้ธรรมชาติดูแล ชาวบ้านแค่ตัดแต่งกิ่งและคอยเก็บเกี่ยวผลผลิตอย่างเดียว

แต่กาแฟก็เหมือนพืชเศรษฐกิจชนิดอื่นที่เมื่อมีความต้องการปริมาณมากๆ จึงมีการนำสายพันธุ์ดั้งเดิมมาปรับปรุง และปรับเปลี่ยนวิธีการปลูกเพื่อให้ได้ผลผลิตสูงสุด ในกรณีของกาแฟนั่นคือการปรับปรุงพันธุ์ให้เติบโตได้ดีในที่โล่ง ทนแสงแดดจัด เพื่อให้ต้นกาแฟออกผลมากๆ การปลูกกาแฟในช่วง ปีหลังๆจึงกลายเป็นการปลูกแบบพืชเชิงเดี่ยวเพื่อให้ง่ายต่อการเก็บเกี่ยว ซึ่งนำไปสู่การบุกรุกพื้นที่ป่าเขตร้อนเพื่อขยายพื้นที่เพาะปลูก กาแฟสายพันธุ์ใหม่แม้จะให้ผลผลิตสูงกว่าแต่มีโรคแมลงเยอะ แถมยังต้องใช้ปุ๋ยเคมีเป็นประจำ เนื่องจากการปลูกในที่โล่งนำไปสู่การกัดเซาะหน้าดินยามฝนตก หน้าดินที่อุดมสมบูรณ์จึงค่อยๆหายไป เกษตรกรจึงต้องใช้ปุ๋ยเคมีอย่างต่อเนื่อง เพราะดินเสื่อมสภาพไปเรื่อยๆ

ในขณะที่การปลูกกาแฟแบบดั้งเดิมใต้ร่มไม้ในป่าไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลงหรือใส่ปุ๋ยแต่อย่างใด เพราะธรรมชาติช่วยควบคุมศัตรูตามธรรมชาติและเติมปุ๋ยให้อยู่ตลอดเวลา เรียกว่าเป็นการปลูกแบบอินทรีย์ที่สมบูรณ์และมีความยั่งยืนสูงมาก ศูนย์วิจัยนกอพยพของสถาบันสมิธโซเนียนในสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่บุกเบิกและส่งเสริมแนวคิดการปลูกกาแฟใต้ร่มไม้ (shade-grown coffee) เนื่องจากพบว่าการเกษตรวิธีนี้สอดคล้องกับการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพได้เป็นอย่างดี  เพราะส่งเสริมให้มีการเก็บรักษาหย่อมป่าตามธรรมชาติเอาไว้

ด้วยการนำของสถาบันสมิธโซเนียน นักสิ่งแวดล้อม เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ และบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านกาแฟ ทำให้มีการจัดประชุมกาแฟยั่งยืน (Sustainable Coffee Congress) ขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1996 เพื่อกระตุ้นให้มีการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอันเกิดจากการปลูกกาแฟ และหันกลับมาส่งเสริมวิธีการปลูกกาแฟใต้ร่มไม้เชิงอนุรักษ์

การประชุมดังกล่าวได้มีการนำเสนอผลการวิจัยที่พบว่าในแปลงปลูกกาแฟใต้ร่มไม้ในป่ามีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก แปลงปลูกกาแฟใต้ร่มไม้บางแปลงในเม็กซิโกสามารถพบนกได้มากถึง 180 ชนิดเรียกว่ามีความหลากหลายแทบไม่น้อยกว่าในป่าธรรมชาติ ผลจากการประชุมครั้งนั้นได้มีการพัฒนามาตรฐานกาแฟใต้ร่มไม้ขึ้นเพื่อเป็นหลักเกณฑ์ให้เกษตรกรที่ต้องการเข้าร่วมโครงการปรับปรุงแนวทางการปลูกให้ได้มาตรฐาน และได้รับการรับรองเพื่อสามารถส่งขายในราคาที่ดีกว่า ทั้งยังเพื่อป้องกันการสวมรอยและปลอมฉลากว่าเป็น “กาแฟใต้ร่มไม้” มาตรฐานกาแฟใต้ร่มไม้ที่ได้รับการยอมรับ

ในปัจจุบันมีอยู่สามสี่แห่งหลักๆ ได้แก่ Bird Friendly© ของสถาบันสมิธโซเนียน ECO-OK© ของ Rainforest Alliance ORGANIC©  และ Fair Trade© จึงนับได้ว่ากาแฟใต้ร่มไม้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการทำการตลาดสีเขียวว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง

การปลูกกาแฟแบบดั้งเดิมเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม

ยุคแรกๆ โดยผู้บริโภคมีส่วนโดยตรงในการกำหนดอนาคตของผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ หากผู้บริโภคมีความรับผิดชอบมากขึ้นและยินดีที่จะซื้อกาแฟที่มีการผลิตยั่งยืนกว่าในราคาที่สูงกว่า นั่นย่อมเป็นตัวกระตุ้นให้เกษตรกรหันมาปลูกกาแฟใต้ร่มไม้กันมากขึ้น ตลอดระยะเวลาเกือบยี่สิบปีที่ผ่านมาได้มีการทำวิจัยเปรียบเทียบผลดีผลเสียของการปลูกกาแฟใต้ร่มไม้ออกมามากมาย ซึ่งงานวิจัยส่วนใหญ่ได้ข้อสรุปตรงกันว่าหากดำเนินการตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่มีการกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด การปลูกกาแฟใต้ร่มไม้ให้ผลดีกว่าการปลูกแบบอุตสาหกรรมกลางแจ้งในทุกๆ ด้าน


มารู้จักสัญลักษณ์ตรากบให้มากขึ้น พร้อมติดตามสาระกาแฟได้ที่นี่ 〜
🌐 : https://thailandcoffeecenter.com/beans/tradtional_coffee_planting/

รู้จักกับ Rainforest Alliance Certified

เครดิตภาพ: scsglobalservices.com

ป่าฝน (Rain forest) คือป่าที่ได้รับปริมาณน้ำฝนมากมากกว่า 80 นิ้วในแต่ละปี ป่าฝนเป็นระบบประสาทส่วนกลางของโลกที่ประกอบด้วยระบบนิเวศอันเป็นเอกลักษณ์นับล้าน ซึ่งเป็นแหล่งวิวัฒนาการ ชีวิต และความหลากหลาย ป่าฝนเขตร้อนเป็นแหล่งรวมของความหลากหลายทางชีวภาพบนบกถึง 80 เปอร์เซ็นต์ของโลก โดยทั้งหมดถูกบีบอัดเป็นแถบเส้นศูนย์สูตรแคบๆ และยังเป็นบ้านของมนุษย์หลายล้านคนที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศป่าไม้มาเป็นเวลาหลายพันปี

นับตั้งแต่เริ่มต้นของประวัติศาสตร์มนุษย์ต้องอาศัยป่าฝน โดยพบว่ามีไม้ พืช และสัตว์มากมาย รวมทั้งผลไม้ เส้นใย เมล็ดพืช ยารักษาโรค ผ้า และวัสดุอื่นๆ เมื่อเวลาผ่านไปนับพันปีและชุมชนมนุษย์จำนวนมากย้ายออกจากป่ามากขึ้น การพึ่งพาป่าของเราก็ไม่ลดน้อยลง ทุกวันนี้โลกอุตสาหกรรมส่วนใหญ่สัมผัสได้ถึงความเชื่อมโยงเพียงเล็กน้อยกับป่าฝน โดยอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ๆ ที่พลุกพล่านห่างไกลจากแหล่งพลังงานทางนิเวศที่อุดมสมบูรณ์เหล่านี้ โดยทำให้เราเราลืมไปว่าป่าไม้ช่วยรักษาแหล่งอาหารของเราทั่วโลกนำเสนอพืชผลใหม่ที่ต้านทานโรค เราลืมมูลค่าการค้าไม้หรือผลิตภัณฑ์จากป่าที่ไม่ใช่ไม้ และยาที่ได้จากป่ามูลค่ามากมายไป เราลืมสิ่งที่เกินค่าในที่สุด:

วิถีชีวิตของชุมชนป่านับล้าน สภาพภูมิอากาศที่มั่นคงและน่าอยู่สำหรับเราทุกคน การดำรงอยู่ของเพื่อนสายพันธุ์ส่วนใหญ่และสิ่งธรรมดาที่เรามองข้าม เช่น ฝนปกติและอากาศบริสุทธิ์ ในประเทศเขตร้อนหลายประเทศกำลังพัฒนาและป่าไม้ถูกทำลายด้วยความหวังว่าจะสามารถรักษาอนาคตทางเศรษฐกิจได้ ผลประโยชน์ทางอุตสาหกรรมขนาดใหญ่—เช่น ไม้ซุง, เกษตรกรรม เห็นแหล่งทรัพยากรราคาถูกที่ทำกำไรได้ไม่รู้จบและรอที่จะถูกนำไปใช้ ในขณะเดียวกันครอบครัวเกษตรกรและคนตัดไม้รู้สึกว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องตัดไม้ทำลายป่าเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวของพวกเขา

อย่างไรก็ตามจากการศึกษาจำนวนนับไม่ถ้วนและประวัติศาสตร์เมื่อไม่นานนี้ แสดงให้เห็นว่ามีความปลอดภัยเพียงเล็กน้อยที่สามารถพบได้ในการตัดไม้ทำลายป่าในเขตร้อน จนถึงตอนนี้ ครอบครัวมนุษย์ของเราได้ทำลายป่าฝนไปแล้วครึ่งหนึ่ง โลกของเรากำลังเผชิญกับการสูญพันธุ์ซึ่งเป็นวิกฤตการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่การล่มสลายของไดโนเสาร์เมื่อ 65 ล้านปีก่อน อนาคตของพืชและสัตว์มากกว่าครึ่งโลกและวัฒนธรรมมนุษย์หลายร้อยแห่งจะกำหนดขึ้นภายในสองสามทศวรรษข้างหน้า เนื่องจากชีวิตของเราขึ้นอยู่กับผืนป่า

สัญลักษณ์ Rainforest Alliance หมายถึงส่งเสริมการดำเนินการร่วมกันเพื่อผู้คนและธรรมชาติซึ่งขยายต่อยอดและตอกย้ำผลกระทบที่เป็นประโยชน์ของการเลือกอย่างรับผิดชอบ ตั้งแต่ฟาร์มและป่าไม้ไปจนถึงสินค้านซูเปอร์มาร์เก็ต สัยลักษณ์นี้ช่วยให้คุณรับรู้และเลือกผลิตภัณฑ์ที่นำไปสู่อนาคตที่ดีกว่าสำหรับผู้คนและโลก เมื่อคุณเห็นตรากบตัวน้อยบนผลิตภัณฑ์ คุณอาจรู้ว่ามันมีความหมายในเชิงบวกแต่คุณเคยต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่เบื้องหลังตราประทับนี้หรือไม่ และแน่นอนว่าการเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีตราประทับ Rainforest Alliance Certified ช่วยให้ผู้คนและธรรมชาติเจริญเติบโตอย่างกลมกลืนได้อย่างไร

สัญลักษณ์หมายความว่าผลิตภัณฑ์หรือส่วนผสมที่ผ่านการรับรองนั้นผลิตขึ้นโดยใช้วิธีการที่สนับสนุนหลักสามประการของความยั่งยืน ได้แก่ สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีความสำคัญต่อความสมบูรณ์ของโปรแกรมการรับรอง ประเมินเกษตรกรตามข้อกำหนดในทั้งสามด้านก่อนออกใบรับรองหรือต่ออายุใบรับรอง โปรแกรมการรับรองตามข้อมูลเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง การฝึกอบรมเพื่อความยั่งยืน และผลประโยชน์ที่ชัดเจนสำหรับเกษตรกร มาตรฐานของสัญลักษณ์มุ่งเน้นไปที่หัวข้อต่อไปนี้:

ป่าไม้: โรงไฟฟ้าระบบนิเวศเหล่านี้มีความสำคัญต่อการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก โปรแกรมการฝึกอบรมและการรับรองส่งเสริมแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในการปกป้องป่าดิบชื้น การป้องกันการขยายพื้นที่เพาะปลูกไปสู่ป่า ส่งเสริมสุขภาพของต้นไม้ ดิน และทางน้ำ และปกป้องผืนป่าพื้นเมือง

ภูมิอากาศ: ป่าไม้ยืนต้นเป็นวิธีแก้ปัญหาสภาพอากาศตามธรรมชาติที่ทรงพลัง โปรแกรมการรับรองส่งเสริมวิธีการจัดการที่ดินอย่างรับผิดชอบซึ่งเพิ่มการจัดเก็บคาร์บอนในขณะที่หลีกเลี่ยงการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แนวทางปฏิบัติที่ชาญฉลาดต่อสภาพอากาศที่อยู่ในโปรแกรมการฝึกอบรมและการรับรองด้านการเกษตรช่วยให้เกษตรกรสร้างความยืดหยุ่นต่อภัยแล้ง น้ำท่วม และการกัดเซาะหน้าดิน

สิทธิมนุษยชน: การรับรองส่งเสริมสิทธิของชาวชนบท แม้ว่าจะไม่มีโปรแกรมการรับรองใดที่สามารถรับประกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนได้ แต่ระบบมาตรฐานและการรับรองมีกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งในการประเมินและจัดการกับแรงงานเด็ก การบังคับใช้แรงงาน สภาพการทำงานที่ย่ำแย่ ค่าแรงต่ำ ความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ และการละเมิดสิทธิในที่ดินของชนพื้นเมือง การศึกษาอิสระแสดงให้เห็นว่าคนงานในฟาร์มที่ผ่านการรับรองมีแนวโน้มที่จะมีสภาพการทำงานที่ดีขึ้น อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล และการคุ้มครองแรงงาน

ความเป็นอยู่: แนวทางตั้งอยู่บนความเข้าใจว่าสภาพของระบบนิเวศและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชุมชนในชนบทนั้นต้องพึ่งพาอาศัยกัน การปรับปรุงโอกาสในการดำรงชีวิตที่ยั่งยืนสำหรับเกษตรกรรายย่อยและชุมชนป่าไม้เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการช่วยคนในชนบทให้พ้นจากความยากจน และการรับรองได้พิสูจน์แล้วว่านำมาซึ่งผลประโยชน์ทางการเงินที่วัดและประเมินค่าได้ให้แก่เกษตรกรและชุมชนป่าไม้ทั่วโลก

ทำไมสัญลักษณ์ต้องเป็นกบ? กบคือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า bioindicators ซึ่งหมายความว่าจำนวนกบที่มีสุขภาพดีบ่งชี้ว่ามีสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ (สิ่งที่ตรงกันข้ามก็เป็นความจริงเช่นกัน) Rainforest Alliance ได้เลือกกบต้นไม้ตาแดงเป็นสัญลักษณ์มานานกว่าสามสิบปีแล้ว เนื่องจากสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่มีตาสว่างตัวนี้มักพบในป่าร้อนชื้น ที่ซึ่งผู้ก่อตั้งเริ่มทำงานเพื่อปกป้องป่าฝนเขตร้อนในครั้งแรก ตั้งแต่นั้นมา ตรากบได้กลายเป็นสัญลักษณ์สากลแห่งความยั่งยืน

สัญลักษณ์กบมีมาตรฐานด้านความยั่งยืนแบบใด? ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร: สัญลักษณ์ Rainforest Alliance หมายความว่าผลิตภัณฑ์หรือส่วนผสมที่ระบุได้รับการปลูกในฟาร์มที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานเกษตรกรรมยั่งยืนของ Rainforest Alliance และ/หรือหลักจรรยาบรรณของ UTZ ผลิตภัณฑ์จากป่าไม้:

สำหรับผลิตภัณฑ์จากป่าไม้ เช่น บรรจุภัณฑ์กระดาษและกระดาษแข็ง สัญลักษณ์หมายความว่าผลิตภัณฑ์หรือบรรจุภัณฑ์นั้นมาจากป่าที่ผ่านการรับรองมาตรฐานของ Forest Stewardship Council® ซึ่ง Rainforest Alliance เป็นสมาชิกผู้ก่อตั้ง และธุรกิจที่ใช้สัญลักษณ์นั้นเป็นสมาชิกของ Forest Allies Initiative ธุรกิจการท่องเที่ยว: ธุรกิจการท่องเที่ยวเช่นโรงแรมและผู้ประกอบการท่องเที่ยวใช้กบสีเขียวเมื่อพวกเขาได้รับการรับรองตามมาตรฐานการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนของ Preferred by Nature (เดิมคือ NEPCon) ซึ่งเป็นที่ยอมรับโดย Global Sustainable Tourism Council ท่องเที่ยวที่ได้รับการรับรองจาก Rainforest Alliance

ตัวอย่างสินค้าที่ได้ตราสัญลักษณ์ Rain Forest

Credit: https://www.rainforest-alliance.org/

Tuesday 19 October 2021

ทำไร่ทำนา + ปลูกป่าผสม = วนเกษตร

ระบบ วนเกษตร หรือ Agro-Forestry เป็นศาสตร์ของการจัดการทรัพยากรในพื้นที่เพาะปลูก (Land resouce managemeng) อย่างเป็นระบบ โดยผสมผสาน การทำป่าไม้ (Forestry) การเพาะปลูกพืช (Agriculture) การทำปศุสัตว์ และการประมงเลี้ยงสัตว์น้ำ Animal husbandry, Aquaculture & Fisheries หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการทำการเกษตรโดยรวมหลากหลายชนิดของพืชและสัตว์มาไว้ในผืนดินเดียวกัน อย่างเหมาะสมและมีความสมดุล เพื่อให้ระบบมีความคล้ายคลึงกับระบบนิเวศน์ป่าทางธรรมชาติ ที่ความซับซ้อนและความหลากหลายทางชีวภาพ โดยผลผลิตจากพืชและสัตว์ที่เกิดขึ้น จะเป็นตัวเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้ทรัพยากรในดิน ในธรรมชาติบริเวณนั้นแบบองค์รวม เกิดผลผลิตหลากหลาย และหมุนเวียนธาตุอาหาร ให้สมดุลและมีเสถียรภาพและความยั่งยืนระยะยาว โดยสรุป การทำเกษตรแบบวนเกษตร ที่ดีจะช่วยเพิ่มความสามารถของผืนดินในการซึมซับน้ำ การรักษาน้ำใต้ดิน และลดการสูญเสียหน้าดิน

agro-forestry ประโยชน์จากใบไม้ที่ร่วงหล่น ของไม้ใหญ่
ปลูกไม้ใหญ่ควบคู่กับการทำไร่ | เครดิตภาพ : tunza.eco-generation.org

วนเกษตร หรือที่ถ้าเรียกให้เข้าใจชัดขึ้นว่า ระบบไร่นาป่าผสม มีความหมายตรงตัวคือ การทำเกษตรกรรม ทำไร่ทำนาหรือปลูกพืชไร่ (หรือไม้ชั้นล่าง) ควบคู่ไปกับการปลูกไม้ยืนต้นหนาแน่น จนดูคล้ายนิเวศน์ธรรมชาติของป่า ไม่ว่าจะเป็นปลูกไม้ผลหรือไม้ใช้สอย (โดยปลูกไม้ช้ันบนนี้ในหลายชั้นความสูง ลดหลั่นกันไป) โดยมีการผสมผสานกับการปลูกพืชผักสวนครัว พืชสมุนไพร หรือไม้พุ่มเตี้ย

โดยไม้ชั้นบนที่ใช้ควรมีกิ่งก้านแผ่ขยายออกเป็นวงกว้าง สามารถให้เป็นที่กำบัง ลดความรุนแรงของเม็ดฝนที่ตกกระทบผืนดิน ช่วยบังพายุ ฝน รวมทั้งควบคุมสภาพความชุ่มชื้นและอุณหภูมิ
ขณะที่ ไม้ชั้นล่าง ที่มีการปลูกแบบเป็นแปลงหมุนเวียน ให้ทั้งผลผลิตระยะสั้นแล้ว ยังช่วยฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน ไม้ชั้นล่างที่เลือกปลูกภายใต้ร่มเงาไม้ปกคลุม ควรเป็นพืชที่ไม่ต้องการแสงแดดมาก และสามารถรับประโยชน์จากความชื้นสูงจากการที่มีไม้ผล ไม้ยืนต้น (ไม้ชั้นบน) คอยเป็นกำบังแสงแดดรุนแรงให้

โดยเราแบ่งไม้ชั้นบนที่จะปลูกในแต่ละชั้นความสูง ตามระดับของแสงแดดที่ไม้แต่ละชนิดต้องการ เพื่อสามารถกำหนดตำแหน่งที่เหมาะสม  

  • พืชที่ต้องการแสงมาก พวกไม้ยืนต้น หรือไม้ใช้สอย เช่น สัก ประดู่ ยางนา หรือ ไม้ผล พวก หมาก มะพร้าว
  • พืชที่ต้องการแสงปานกลาง พวกไม้ผล เช่น มะม่วง มังคุด ทุเรียน ขนุน

และในกรณีที่พื้นดินมีขนาดกลางถึงใหญ่ การเลี้ยงสัตว์ตั้งแต่ การเลี้ยงเป็ดไก่ เลี้ยงปลาในนาข้าว หรือขุดบ่อปลา จะกระทั่งเลี้ยงหู หรือวัวควายในพื้นที่ กรณีที่พื้นที่เพียงพอ จะยิ่งช่วยพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ และเพิ่มศักยภาพของดินและประสิทธิภาพในการเพิ่มผลผลิต แถมยังสร้างความมั่นคงในเชิงเศรษฐกิจ จากการมีผลิตผลหลากหลาย ตอบโจทย์ทั้งการใช้ประโยชน์ภายในพื้นที่เอง หรือการจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้

จากนิยามข้างต้น เราจะห็นได้ว่าปัจจัยสำคัญอันดับแรกของ วนเกษตร ก็คือการมีไม้ยืนต้นปลูก "หนาแน่น" ให้เพียงพอกับความเป็น 'ป่า" ธรรมชาติ เพื่อสร้างนิเวศน์ป่าในพื้นที่การเกษตร

ปัจจัยบวกของการมีไม้ยืนต้นในแปลงเกษตร

  1. ไม้ยืนต้น ไม่ว่าจะเป็นไม้ผลหรือไม่ใช้สอย เป็นตัวเพิ่มรายได้ให้กับเกษตกร ในระยะยาว
  2. เป็นตัวช่วยให้เกษตรกรมี "ไม้" ไว้ใช้ประโยชน์อย่างหลากหลาย เช่น เป็นไม้ฟืน ไม้ค้ำยัน ไม้สร้างบ้าน โดยไม่ต้องเสียเงินไปหาซื้อ
  3. ต้นไม้ใหญ่รีไซเคิลธาตุอาหารได้มาก จากการดูดซับสารอาหารจากสภาพแวดล้อม แปรสภาพเป็นลำต้น กิ่งก้าน และใบไม้ที่ร่วงหล่น ซึ่งที่สุดก็สลายคืนสู่ดินกลายเป็นปุ๋ยชีวภาพ
  4. ระบบนิเวศน์ไม้ใหญ่ดึงดูดสัตว์เล็กนกกาเข้ามาอยู่อาศัย เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้ระบบนิเวศน์ ลดการใช้ปู๋ย ยาฆ่าแมลงหรือยากำจัดศัตรู
  5. ไม้ใหญ่ช่วยกำบังลม และแสงแดด ลดการเกิดของวัชพืช

เงื่อนไขพื้นฐานของการเลือกพันธ์ไม้ยืนต้นในระบบวนเกษตร

  • ควรเลือกพันธ์ไม้ที่ไม่ต้องการน้ำมากเกินไป จนแย่งน้ำของพืชตัวหลัก
  • ควรเลือกพันธ์ไม้ที่มีระบบรากไชลึก เพื่อจะได้ชอนไชลงหานำ้จากแกล่งใต้ดินชั้นลึก
  • ควรเลือกพันธ์ไม้ที่กิ่งก้านแผ่ขยายและแตกใบค่อนข้างโปร่ง เพื่อให้แสงแดดสามารถส่องลงไปสู่ไม้ชั้นล่างได้
  • ควรเลือกพันธ์ไม้โตเร็ว โดยเฉพาะพันธ์ไม้ใช้สอย เพื่อให้ช่วงที่ปลูกโตจนพร้อมใช้ และลงปลูกใหม่ ใช้เวลาไม่นานนกั
  • ควรเลือกพันธ์ไม้ไม่"แย่ง"ธาตุอาหารจากพืชหลัก แต่เพิ่มเติมธาตุอาหารให้ผืนดิน เช่น พืชตระกูลถั่ว ที่มีใบย่อยสลายง่าย มีธาตุไนโตรเจนสูง ฟื้นสภาพดินได้รวดเร็ว

วนเกษตร มีทางเลือกในการปฏิบัติทางการเกษตรแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น และสภาพพื้นที่ โดยนักวิชาการได้จัดแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ 5 ประเภท ดังนี้

  1. วนเกษตรแบบบ้านสวน การปลูกไม้ป่าผสมในลักษณะนี้ จะมีต้นไม้และพืชผลหลายชั้นความสูง โดยเน้นปลูกไม้ผล ที่ให้ผลประเภทกินได้ และไม้สำหรับใช้สอยในครัวเรือน เพื่อเป็นไม้ฟืนและถ่าน และพืชสมุนไพรและผักสวนครัว วนเกษรประเภทนี้ เหมาะกับเกษตรกรที่มีพื้นที่ในการปลูกไม่มาก เช่น พื้นที่สวนหลังบ้าน
  2. วนเกษตรที่มีต้นไม้แทรกในไร่นา หรือทุ่งหญ้า เหมาะกับพื้นที่ซึ่งมีลักษณะสูงๆ ต่ำๆ โดยปลูกต้นไม้เสริมในที่ที่ไม่เหมาะสมกับพืชผล เช่น ที่เนิน หรือที่ลุ่มน้ำขัง และปลูกพืชในที่ราบ หรือที่ไม่สม่ำเสมอ
  3. วนเกษตรที่มีต้นไม้ล้อมนาไร่ การปลูกต้นไม้ล้อมพื้นที่นาข้าว และที่ราบลุ่มปลูกพืชไร่ ที่ซึ่งมีลมแรง และพืชผลมีโอกาศได้รับความเสียหายจากลมพายุอยู่เสมอ การปลูกต้นไม้โตเร็วยืนต้นรอบคันนา ยังเพิ่มความชุ่มชื้น บังแดดบังลมให้กับนาข้าวด้วย ผลผลิตไม้ก็สามารถนำมาใช้สอยในครัวเรือน เป็นถ่านเป็นฟืน
  4. วนเกษตรที่มีแถบต้นไม้และพืชผลสลับกัน เหมาะกับพื้นที่ที่มีความลาดชันเป็นแนวยาวน้ำไหลเซาะหน้าดินมาก แถบต้นไม้ซึ่งปลูกไว้สองถึงสามแถวสลับกับพืชผลเป็นช่วงๆ ปลูกขวางความลาดชัน จะช่วยรักษาหน้าดิน และในระยะยาวจะทำให้เกิดขั้นบันไดดินแบบธรรมชาติให้กับพื้นที่ สำหรับแถบพืช อาจมีความกว้าง 5-20 เมตร ตามความเหมาะสมของพื้นที่
  5. วนเกษตรที่ใช้พื้นที่หมุนเวียนปลูกไม้ยืนต้น พืชผล และเลี้ยงสัตว์ เหมาะกับพื้นที่ที่มีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ซึ่งมีพื้นที่พอที่จะปลูกพืชผลเป็นแปลงหมุนเวียน โดยมีแปลงไม้ยืนต้นร่วมกับการเลี้ยงสัตว์แบบหมุนเวียนเพื่อฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ให้กับผืนดิน

ระบบ วนเกษตร นอกจากจะเป็นแนวทาง ในการทำเกษตร เพื่อให้ได้ผลผลิตอย่างยั่งยืน ตามนิยามข้างต้นแล้ว วนเกษตร ยังรวมถึงทำป่าไม้ผสมผสานร่วมกับการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ ในบริเวณชายขอบระหว่าที่ดินเกษตรกร และรอยต่อที่ดินติดกับป่าด้วย หรืออาจเป็นการปลูกพืชเกษตร หรือการปลูกพืชเกษตรร่วมกับการเลี้ยงสัตว์ในสวนป่า โดยเฉพาะที่กระทำโดยราษฎรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายขอบป่า ในเขตอ่อนไหว ซึ่งอาจเป็นทางออกที่ประณีประนอมสำหรับการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างความต้องการที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมและความต้องการรักษาป่าไม้เพื่อควบคุมสภาพสิ่งแวดล้อม ทำให้วิถีของคนและป่าสามารถดำเนินควบคู่กัน ไปโดยคำนึงถึงสภาพทางสังคมเศรษฐกิจและวัฒนธรรมประเพณี รวมทั้งช่วยพัฒนาความเป็นอยู่ของราษฎรที่เกี่ยวข้อง

Agro-Forestry System | ที่มาภาพ : Forestrypedia.com

***มันอาจจะเป็นทางออกสุดท้ายของการเพิ่มปริมาณต้นไม้ของมนุษย์ ทดแทนการที่ป่าถูกทำลายจากการบริโภคและตัดไม้ทำลายป่า


แหล่งอ้างอิงข้อมูลและรูปภาพ:
https://tunza.eco-generation.org/m/index.jsp
https://www.opsmoac.go.th/km-km_org_center-files-401591791808
https://www.matichon.co.th/sme/news_95430
https://www.naewna.com/local/400766
http://www.nawachione.org/2012/10/29/sustainable-agriculture/
http://ecoursesonline.iasri.res.in/mod/page/view.php?id=14511
https://forestrypedia.com/agroforestry-system-detailed-note/
https://en.wikipedia.org/wiki/Agroforestry


ติดตามสาระห่วงไยสิ่งแวดล้อม 〜
🌐 : greentips.net
Facebook: Bio100Percent
IG: instagram.com/bio100plus
Line: @BIO100
Blockdit : GREENTIPS
🅱logger : GREENTIPS by BIO100

โพสต์เด่น

10 ไม้ยืนต้นออกดอกสวย

มาสู้โลกร้อนกันด้วยการ ปลูกต้นไม้ในบ้านกัน นอกจากลดการใช้พลังงานฟอสซิล หันมาใช้พลังงานสะอาด ก็คือช่วยการปลูกต้นไม้ 🌳 🌿 🌱 เพิ่มพื้นท...

โพสต์น่าสนใจ