Showing posts with label greentips. Show all posts
Showing posts with label greentips. Show all posts

Saturday 13 November 2021

ปัญหาโลกแตก Plastic หรือ Paper

Plastic หรือ Paper กับการพิทักษ์สิ่งแวดล้อม ?

ขยะพลาสติกล้นโลกยังคงเป็นปัญหาสำคัญที่ทั่วทุกประเทศต่างให้ความสำคัญ ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เราได้เห็นทั้งโครงการที่จะยกเลิก ลด และ แทนที่บรรจุภัณฑ์พลาสติกด้วย bio-degradable ต่าง ๆ น่าเสียดายที่ โควิด-19 ทำให้หลาย ๆ โครงการงดแจกถุงพลาสติกต้องถูกเลื่อนออกไป ด้วยเหตุผลทางด้านสุขภาวะอนามัย แต่ถึงกระนั้น เราก็ยังเห็นการพยายามลดการใช้พลาสติก เช่น การที่ร้านอาหารดังหลาย ๆ ร้านเปลี่ยนมาใช้ถุงกระดาษ หลอดกระดาษ รวมถึง Bio-plastic แทนถุงพลาสติก หลอดพลาสติก ผ่านบทความนี้ เราจะพาทุกคนไปสำรวจว่าจริง ๆ แล้วการใช้วัสดุทดแทนพลาสติกเหล่านี้ ดีต่อโลกกว่า จริงหรือไม่?

Plastic or Paper ขยะพลาสติกล้นโลกยังคงเป็นปัญหาสำคัญ

เพื่อที่จะเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสียของวัสดุต่าง ๆ ให้ครบรอบด้าน เราจำเป็นที่จะต้อง วิเคราะห์วงจรชีวิต (A Life Cycle Analysis) เพื่อที่จะเข้าใจปริมาณพลังงาน ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งในขั้นตอนการผลิต ไปจนถึงการทำลาย ผลกระทบในที่นี้ยังรวมถึงผลที่เกิดจากการแปรสภาพวัสถุต้นทาง การขนส่ง แจกจ่ายไปยังร้านค้า การความสามารถที่จะถูกใช้ซ้ำ และ รีไซเคิลอีกด้วย


บรรจุภัณฑ์แบบไหนดี ?

Plastic พลาสติกส่วนมากทำจาก โพลีเอทิลีน (HDPE ) ผ่านความร้อนกลายเป็นแผ่นฟิล์มพลาสติก ที่ยืด และ ถูกตัด

Plastic - กระบวนการผลิตพลาสติก เริ่มจากเหมืองพลาสติก พลาสติกเกิดจากส่วนประกอบหลักคือ แก๊สธรรมชาติ และ ปิโตรเลียม วัสดุดิบเหล่านี้จะต้องถูกนำไปปรับเปลี่ยน และ เข้ากระบวนการเปลี่ยนแปลงเป็นสารโพลีเมอร์ พลาสติกส่วนมากทำจาก โพลีเอทิลีน (HDPE ) ผ่านความร้อนกลายเป็นแผ่นฟิล์มพลาสติก ที่ยืด และ ถูกตัดเพื่อที่นำมาขึ้นรูปเป็นถุงพลาสติกที่ส่งขายกันทั่วโลก

กว่าจะออกมาเป็นถุงพลาสติก เราต้องใช้พลังงานเป็นอย่างมากทั้งในการผลิตและขนส่ง ซึ่งสวนทางกับอายุของถุงพลาสติกที่คนมักจะใช้เพียงแค่ หนึ่งถึงสองครั้งแล้วก็ทิ้ง The Wall Street Journal ได้ทำผลสำรวจกว่า คนอเมริกันใช้และทิ้งถุงพลาสติกมากถึง 100,000,000 ใบต่อปี และมีเพียง 5 % เท่านั้นที่ถูกนำมาไป recycle อย่างถูกต้องเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่

Paper - กระบวนการผลิตกระดาษ เริ่มจากการตัดต้นไม้ ไม้ซุงจะถูกเคลื่อนย้ายไปที่โรงโม่และอยู่นั่นเฉลี่ย 3 ปีเพื่อรอแห้ง จากนั้นจึงจะเข้าสู่กระบวนการทำกระดาษผ่านความร้อน แรงดัน กรดกำมะถัน ถูกชำระล้างด้วยน้ำ และ ฟอกสีเพื่ออัดเป็นกระดาษ กระบวนการผลิตกระดาษก่อให้เกิดพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมลพิษทางน้ำ และ อากาศ

ดูเหมือนว่าการใช้กระดาษแทนพลาสติกเพื่อรักโลกนั้น จะกลายเป็นเพียงความเชื่อ The American Chemistry ได้ทำการศึกษาในปี 2014 เพื่อเปรียบเทียบถุงพลาสติดยืด (HDPE) กับถุงกระดาษที่มีส่วนประกอบ 30% เป็นไฟเบอร์ที่สามารถ recycle ได้ The American Chemistry พบว่าถุงพลาสติกใช้เชื้อเพลิง และ น้ำน้อยกว่าในกระบวนการผลิต อีกทั้งก่อให้เกิดแก๊สเรือนกระจก ฝนกรด น้ำเสียน้อยกว่ากระดาษอีกด้วย การศึกษานี้คำนึงถึงความสามารถในการรับน้ำหนักที่ต่างกันของทั้งสองวัสดุ ที่กระดาษอาจรับน้ำหนักได้มากกว่า

กล่าวคือ การเปรียบเทียบนี้ใช้ถุงพลาสติก 1,500 ใบ ต่อถุงกระดาษ 1,000 ใบ พลาสติกใช้พลังงานฟอสซิลไป 14.9kg ขณะที่กระดาษใช้ไป 23.2kg พลาสติกผลิตของเสีย 7kg ในขณะที่กระดาษผลิตถึง 33.9kg ในส่วนของการปล่อยแก๊สเรือนกระจก พลาสติกปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ 0.04 tons ในขณะที่กระดาษปล่อยถึง 0.08 tons และการใช้น้ำ พลาสติกใช้ไป 58 gallons ในขณะที่กระดาษใช้ 1,004 gallons รวมพลังงานทั้งหมดสำหรับการผลิต การผลิตถุงกระดาษใช้พลังงานมากกว่าถุงพลาสติกถึง 1,859 megajoule

ข้อได้เปรียบของกระดาษ คือ การที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ

เราไม่ฟันธงได้ว่าพลาสติกจะดีไปกว่ากระดาษเสมอไป อีกปัจจัยที่ควรตระหนักนอกจากกระบวนการผลิต คือกระบวนการย่อยสลาย ข้อได้เปรียบของกระดาษ คือ การที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ (Bio-degradable) ซึ่งพลาสติกทั่วไปไม่สามารถทำได้ ขยะพลาสติกจะอยู่กับเราไปอีก 20 - 1,000 ปี และ ขยะชิ้นเล็ก ๆ ของพลาสติกนั้นอาจจะไหลลงแหล่งน้ำ เป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำ รวมทั้งกลายเป็นไมโครพลาสติกในอากาศอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม เราจำเป็นต้องเน้นย้ำตรงนี้ว่าการย่อยสลายในธรรมชาติของกระดาษนั้นจะเกิดขึ้นได้ในสภาวะที่มีออกซิเจนเหมาะสม ซึ่งอาจไม่เกิดขึ้นได้ในบริเวณฝังกลบ


หลอดกระดาษ ดีต่อโลกแค่ไหน ?

อีกปรากฎการณ์ที่น่าสนใจ คือ การเปลี่ยนของร้านอาหารดัง จากการใช้หลอดพลาสติก มาเป็น หลอดกระดาษ แม้ว่ากระดาษจะมาสามารถย่อยสลายได้จริง แต่ไม่ใช่หลอดกระดาษที่เปื้อน และ เปียกนั้นจะย่อยสลายได้อย่างง่ายดาย UK McDonalds ออกมายอมรับว่า ทางร้านจะต้องทิ้งหลอดกระดาษทั้งหมดกว่า 1,800,000 หลอดที่ถูกใช้ทุกวันทั่วประเทศแทนที่จะนำไป recycle

การทำให้พลาสติกย่อยสลายได้ จะเป็นทางออกให้กับการใช้พลาสติก หรือไม่

แต่ไม่ใช่หลอดกระดาษที่เปื้อน และ เปียกนั้นจะย่อยสลายได้อย่างง่ายดาย
หลอดกระดาษดีต่อสิ่งแวดล้อม ?

ไบโอพลาสติก

Bio-plastic - ไบโอพลาสติกเกิดจากการนำพืช เช่น ข้าวโพด อ้อย หรือ สาหร่ายมาแปรสภาพให้เป็นโพลีเมอร์ โดยพืชที่เรามักได้ยินบ่อย ๆ ก็คือข้าวโพด ในปี 2014 หนึ่งส่วนสี่ของสัดส่วนธัญพืชทั้งหมดที่ปลูกในอเมริกาถูกปลูก เพื่อนำมาทำ Bio-plastic การแทนที่ของพืชเพื่อพลาสติกเหล่านี้ ทำให้สัดส่วนพื้นที่สำหรับพืชเพื่อรับประทานลดน้อยลง มีผลทำให้ราคาอาหารสูงขึ้น อีกทั้งการปลูกพืชเพื่ออุตสาหกรรมพลาสติกยังก่อให้เกิดมลภาวะอย่างมาก ข้าวโพดที่นำมาผลิตพลาสติกมักจะเป็นข้าวโพดตัดแต่งเพื่อให้ทนต่อสารเคมีที่ถูกใช้จำนวนมากในแปลงปลูก อันตรายทั้งต่อสิ่งแวดล้อม และ สุขภาพของคนงานในแปลง

วัสดุแต่ละชนิด ล้วนมีข้อเสียที่แตกต่างกัน

จะเห็นได้วัสดุแต่ละชนิด ล้วนมีข้อเสียที่แตกต่างกัน อาจไม่มีวัสดุที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน เนื่องด้วยความต้องการใช้ และ ข้อจำกัดที่แตกต่าง ทางที่ดีที่สุดที่เราจะสามารถลดปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ อาจะเป็น การใช้สิ่งที่เรามีอยู่แล้ว ซ้ำ ให้ได้มากที่สุด และ กำจัดให้ถูกวิธีเมื่อถึงเวลา


แหล่งอ้างอิงข้อมูล:
Columbia.Edu
CarbonPositiveAustralia.Org
Ecoenclose.com
Medium.com/Tabitha-Whiting
AmericanChemistry.com


`**ร่วมแบ่งปันสาระธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม🌳 โดย 〜
🌐 : https://bio100.co.th
ⓕ : @Bio100Percent
IG : instagram.com/bio100plus
ʟɪɴᴇ 🆔 : https://bit.ly/bio100qr

Saturday 30 October 2021

การปลูกกาแฟแบบดั้งเดิมเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม

การปลูกกาแฟแบบดั้งเดิมเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม
















Shade-grown Coffee : การปลูกกาแฟใต้ร่มเงาไม้ใหญ่

ในอดีต การปลูกกาแฟจะทำในร่มเงาของต้นไม้ภายในป่า (แบบวนเกษตร) ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์และแมลงทั้งหลาย ทฤษฎีนี้มักจะเป็นไปตามทฤษฎีแบบดั้งเดิม ในปัจจุบันเกษตรกรจำนวนมากได้เปลี่ยนไปใช้วิธีการปลูกต้นกาแฟแบบทันสมัย โดยการใช้แสงอาทิตย์ในการปลูกต้นกาแฟ ซึ่งต้นกาแฟจะถูกปลูกเรียงกันเป็นแถวอยู่ใต้แสงอาทิตย์โดยมีป่าร่มเงาเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย การปลูกแบบใหม่นี้ทำให้เมล็ดกาแฟสุกเร็วขึ้นและให้ผลผลิตมากขึ้น แต่การปลูกแบบดังกล่าวจำเป็นต้องตัดต้นไม้ ใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงจำนวนมาก อีกด้านหนึ่ง การปลูกต้นกาแฟแบบดั้งเดิมจะทำให้เมล็ดกาแฟสุกช้ากว่าการปลูกต้นกาแฟแบบใหม่และให้ผลผลิตน้อยกว่า แต่จะให้เมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพสูงกว่า

นอกเหนือจากนั้น ทฤษฎีดั้งเดิมยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสามารถเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยในกับสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก นักวิชาการทางด้านการปลูกกาแฟแบบใหม่กล่าวว่าปัญหาสิ่งแวดล้อม อย่างเช่น การตัดไม้ทำลายป่า มลภาวะที่เกิดจากยาฆ่าแมลง การทำลายที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า การเสื่อมคุณภาพของดินและน้ำ ดังนั้นนักวิชาการพบว่าเราต้องใช้กาแฟเป็นเครื่องมือในการอนุรักษ์ป่าได้ แทนที่จะปล่อยให้กาแฟกลายเป็นพืชกินป่าเช่นเดียวกับพืชเศรษฐกิจอื่นๆ กุญแจสำคัญอยู่ที่การย้อนกลับไปสู่วิถีการปลูกแบบดั้งเดิมและทำความเข้าใจ

เป็นที่ทราบกันดีว่าสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการปลูกกาแฟก็คือภูมิอากาศแบบเขตร้อนตามแนวเส้นศูนย์สูตร ราวเส้นละติจูด 25 องศาเหนือลงมาถึงเส้นละติจูด 30 องศาใต้ ทุกวันนี้มีประเทศที่ปลูกกาแฟเชิงพาณิชย์กว่า 50 ประเทศทั่วโลกกระจายอยู่ตามเส้น Coffee Belt หรือ The Bean Belt - between latitudes 25 degrees North and 30 degrees South.

ประเทศที่ผลิตกาแฟมากที่สุดห้าอันดับแรกตามข้อมูลปีล่าสุดได้แก่ บราซิล เวียดนาม โคลัมเบีย อินโดนีเซีย และเอธิโอเปีย จะเห็นว่าล้วนแล้วแต่เป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงติดอันดับโลกทั้งสิ้น

กาแฟป่าปลูกภายใต้ร่มเงาไม้ใหญ่

ในธรรมชาติกาแฟเป็นพันธุ์ไม้ที่พบในป่าดิบ ตั้งแต่นั้นมนุษย์จึงเริ่มนำกาแฟมาทำเป็นเครื่องดื่ม จนกลายมาเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่สุดของโลก โดยธรรมชาติกาแฟจึงเป็นพืชที่ทนแสงแดดจัดไม่ได้และเติบโตอยู่ใต้ร่มไม้ในสภาพดินที่มีความชุ่มชื้น ป่าที่มีโครงสร้างพรรณไม้สลับซับซ้อนย่อมเอื้อต่อการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะนกนานาชนิด ต้นกาแฟที่ขึ้นอยู่ในป่าจึงไม่มีปัญหาเรื่องแมลงเลย เพราะมีกลุ่มนกกินแมลงคอยควบคุมศัตรูพืชให้ วิธีการปลูกกาแฟแบบดั้งเดิมจึงเป็นการปลูกต้นกาแฟแซมในป่าและปล่อยให้ธรรมชาติดูแล ชาวบ้านแค่ตัดแต่งกิ่งและคอยเก็บเกี่ยวผลผลิตอย่างเดียว

แต่กาแฟก็เหมือนพืชเศรษฐกิจชนิดอื่นที่เมื่อมีความต้องการปริมาณมากๆ จึงมีการนำสายพันธุ์ดั้งเดิมมาปรับปรุง และปรับเปลี่ยนวิธีการปลูกเพื่อให้ได้ผลผลิตสูงสุด ในกรณีของกาแฟนั่นคือการปรับปรุงพันธุ์ให้เติบโตได้ดีในที่โล่ง ทนแสงแดดจัด เพื่อให้ต้นกาแฟออกผลมากๆ การปลูกกาแฟในช่วง ปีหลังๆจึงกลายเป็นการปลูกแบบพืชเชิงเดี่ยวเพื่อให้ง่ายต่อการเก็บเกี่ยว ซึ่งนำไปสู่การบุกรุกพื้นที่ป่าเขตร้อนเพื่อขยายพื้นที่เพาะปลูก กาแฟสายพันธุ์ใหม่แม้จะให้ผลผลิตสูงกว่าแต่มีโรคแมลงเยอะ แถมยังต้องใช้ปุ๋ยเคมีเป็นประจำ เนื่องจากการปลูกในที่โล่งนำไปสู่การกัดเซาะหน้าดินยามฝนตก หน้าดินที่อุดมสมบูรณ์จึงค่อยๆหายไป เกษตรกรจึงต้องใช้ปุ๋ยเคมีอย่างต่อเนื่อง เพราะดินเสื่อมสภาพไปเรื่อยๆ

ในขณะที่การปลูกกาแฟแบบดั้งเดิมใต้ร่มไม้ในป่าไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลงหรือใส่ปุ๋ยแต่อย่างใด เพราะธรรมชาติช่วยควบคุมศัตรูตามธรรมชาติและเติมปุ๋ยให้อยู่ตลอดเวลา เรียกว่าเป็นการปลูกแบบอินทรีย์ที่สมบูรณ์และมีความยั่งยืนสูงมาก ศูนย์วิจัยนกอพยพของสถาบันสมิธโซเนียนในสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่บุกเบิกและส่งเสริมแนวคิดการปลูกกาแฟใต้ร่มไม้ (shade-grown coffee) เนื่องจากพบว่าการเกษตรวิธีนี้สอดคล้องกับการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพได้เป็นอย่างดี  เพราะส่งเสริมให้มีการเก็บรักษาหย่อมป่าตามธรรมชาติเอาไว้

ด้วยการนำของสถาบันสมิธโซเนียน นักสิ่งแวดล้อม เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ และบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านกาแฟ ทำให้มีการจัดประชุมกาแฟยั่งยืน (Sustainable Coffee Congress) ขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1996 เพื่อกระตุ้นให้มีการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอันเกิดจากการปลูกกาแฟ และหันกลับมาส่งเสริมวิธีการปลูกกาแฟใต้ร่มไม้เชิงอนุรักษ์

การประชุมดังกล่าวได้มีการนำเสนอผลการวิจัยที่พบว่าในแปลงปลูกกาแฟใต้ร่มไม้ในป่ามีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก แปลงปลูกกาแฟใต้ร่มไม้บางแปลงในเม็กซิโกสามารถพบนกได้มากถึง 180 ชนิดเรียกว่ามีความหลากหลายแทบไม่น้อยกว่าในป่าธรรมชาติ ผลจากการประชุมครั้งนั้นได้มีการพัฒนามาตรฐานกาแฟใต้ร่มไม้ขึ้นเพื่อเป็นหลักเกณฑ์ให้เกษตรกรที่ต้องการเข้าร่วมโครงการปรับปรุงแนวทางการปลูกให้ได้มาตรฐาน และได้รับการรับรองเพื่อสามารถส่งขายในราคาที่ดีกว่า ทั้งยังเพื่อป้องกันการสวมรอยและปลอมฉลากว่าเป็น “กาแฟใต้ร่มไม้” มาตรฐานกาแฟใต้ร่มไม้ที่ได้รับการยอมรับ

ในปัจจุบันมีอยู่สามสี่แห่งหลักๆ ได้แก่ Bird Friendly© ของสถาบันสมิธโซเนียน ECO-OK© ของ Rainforest Alliance ORGANIC©  และ Fair Trade© จึงนับได้ว่ากาแฟใต้ร่มไม้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการทำการตลาดสีเขียวว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง

การปลูกกาแฟแบบดั้งเดิมเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม

ยุคแรกๆ โดยผู้บริโภคมีส่วนโดยตรงในการกำหนดอนาคตของผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ หากผู้บริโภคมีความรับผิดชอบมากขึ้นและยินดีที่จะซื้อกาแฟที่มีการผลิตยั่งยืนกว่าในราคาที่สูงกว่า นั่นย่อมเป็นตัวกระตุ้นให้เกษตรกรหันมาปลูกกาแฟใต้ร่มไม้กันมากขึ้น ตลอดระยะเวลาเกือบยี่สิบปีที่ผ่านมาได้มีการทำวิจัยเปรียบเทียบผลดีผลเสียของการปลูกกาแฟใต้ร่มไม้ออกมามากมาย ซึ่งงานวิจัยส่วนใหญ่ได้ข้อสรุปตรงกันว่าหากดำเนินการตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่มีการกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด การปลูกกาแฟใต้ร่มไม้ให้ผลดีกว่าการปลูกแบบอุตสาหกรรมกลางแจ้งในทุกๆ ด้าน


มารู้จักสัญลักษณ์ตรากบให้มากขึ้น พร้อมติดตามสาระกาแฟได้ที่นี่ 〜
🌐 : https://thailandcoffeecenter.com/beans/tradtional_coffee_planting/

รู้จักกับ Rainforest Alliance Certified

เครดิตภาพ: scsglobalservices.com

ป่าฝน (Rain forest) คือป่าที่ได้รับปริมาณน้ำฝนมากมากกว่า 80 นิ้วในแต่ละปี ป่าฝนเป็นระบบประสาทส่วนกลางของโลกที่ประกอบด้วยระบบนิเวศอันเป็นเอกลักษณ์นับล้าน ซึ่งเป็นแหล่งวิวัฒนาการ ชีวิต และความหลากหลาย ป่าฝนเขตร้อนเป็นแหล่งรวมของความหลากหลายทางชีวภาพบนบกถึง 80 เปอร์เซ็นต์ของโลก โดยทั้งหมดถูกบีบอัดเป็นแถบเส้นศูนย์สูตรแคบๆ และยังเป็นบ้านของมนุษย์หลายล้านคนที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศป่าไม้มาเป็นเวลาหลายพันปี

นับตั้งแต่เริ่มต้นของประวัติศาสตร์มนุษย์ต้องอาศัยป่าฝน โดยพบว่ามีไม้ พืช และสัตว์มากมาย รวมทั้งผลไม้ เส้นใย เมล็ดพืช ยารักษาโรค ผ้า และวัสดุอื่นๆ เมื่อเวลาผ่านไปนับพันปีและชุมชนมนุษย์จำนวนมากย้ายออกจากป่ามากขึ้น การพึ่งพาป่าของเราก็ไม่ลดน้อยลง ทุกวันนี้โลกอุตสาหกรรมส่วนใหญ่สัมผัสได้ถึงความเชื่อมโยงเพียงเล็กน้อยกับป่าฝน โดยอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ๆ ที่พลุกพล่านห่างไกลจากแหล่งพลังงานทางนิเวศที่อุดมสมบูรณ์เหล่านี้ โดยทำให้เราเราลืมไปว่าป่าไม้ช่วยรักษาแหล่งอาหารของเราทั่วโลกนำเสนอพืชผลใหม่ที่ต้านทานโรค เราลืมมูลค่าการค้าไม้หรือผลิตภัณฑ์จากป่าที่ไม่ใช่ไม้ และยาที่ได้จากป่ามูลค่ามากมายไป เราลืมสิ่งที่เกินค่าในที่สุด:

วิถีชีวิตของชุมชนป่านับล้าน สภาพภูมิอากาศที่มั่นคงและน่าอยู่สำหรับเราทุกคน การดำรงอยู่ของเพื่อนสายพันธุ์ส่วนใหญ่และสิ่งธรรมดาที่เรามองข้าม เช่น ฝนปกติและอากาศบริสุทธิ์ ในประเทศเขตร้อนหลายประเทศกำลังพัฒนาและป่าไม้ถูกทำลายด้วยความหวังว่าจะสามารถรักษาอนาคตทางเศรษฐกิจได้ ผลประโยชน์ทางอุตสาหกรรมขนาดใหญ่—เช่น ไม้ซุง, เกษตรกรรม เห็นแหล่งทรัพยากรราคาถูกที่ทำกำไรได้ไม่รู้จบและรอที่จะถูกนำไปใช้ ในขณะเดียวกันครอบครัวเกษตรกรและคนตัดไม้รู้สึกว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องตัดไม้ทำลายป่าเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวของพวกเขา

อย่างไรก็ตามจากการศึกษาจำนวนนับไม่ถ้วนและประวัติศาสตร์เมื่อไม่นานนี้ แสดงให้เห็นว่ามีความปลอดภัยเพียงเล็กน้อยที่สามารถพบได้ในการตัดไม้ทำลายป่าในเขตร้อน จนถึงตอนนี้ ครอบครัวมนุษย์ของเราได้ทำลายป่าฝนไปแล้วครึ่งหนึ่ง โลกของเรากำลังเผชิญกับการสูญพันธุ์ซึ่งเป็นวิกฤตการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่การล่มสลายของไดโนเสาร์เมื่อ 65 ล้านปีก่อน อนาคตของพืชและสัตว์มากกว่าครึ่งโลกและวัฒนธรรมมนุษย์หลายร้อยแห่งจะกำหนดขึ้นภายในสองสามทศวรรษข้างหน้า เนื่องจากชีวิตของเราขึ้นอยู่กับผืนป่า

สัญลักษณ์ Rainforest Alliance หมายถึงส่งเสริมการดำเนินการร่วมกันเพื่อผู้คนและธรรมชาติซึ่งขยายต่อยอดและตอกย้ำผลกระทบที่เป็นประโยชน์ของการเลือกอย่างรับผิดชอบ ตั้งแต่ฟาร์มและป่าไม้ไปจนถึงสินค้านซูเปอร์มาร์เก็ต สัยลักษณ์นี้ช่วยให้คุณรับรู้และเลือกผลิตภัณฑ์ที่นำไปสู่อนาคตที่ดีกว่าสำหรับผู้คนและโลก เมื่อคุณเห็นตรากบตัวน้อยบนผลิตภัณฑ์ คุณอาจรู้ว่ามันมีความหมายในเชิงบวกแต่คุณเคยต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่เบื้องหลังตราประทับนี้หรือไม่ และแน่นอนว่าการเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีตราประทับ Rainforest Alliance Certified ช่วยให้ผู้คนและธรรมชาติเจริญเติบโตอย่างกลมกลืนได้อย่างไร

สัญลักษณ์หมายความว่าผลิตภัณฑ์หรือส่วนผสมที่ผ่านการรับรองนั้นผลิตขึ้นโดยใช้วิธีการที่สนับสนุนหลักสามประการของความยั่งยืน ได้แก่ สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีความสำคัญต่อความสมบูรณ์ของโปรแกรมการรับรอง ประเมินเกษตรกรตามข้อกำหนดในทั้งสามด้านก่อนออกใบรับรองหรือต่ออายุใบรับรอง โปรแกรมการรับรองตามข้อมูลเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง การฝึกอบรมเพื่อความยั่งยืน และผลประโยชน์ที่ชัดเจนสำหรับเกษตรกร มาตรฐานของสัญลักษณ์มุ่งเน้นไปที่หัวข้อต่อไปนี้:

ป่าไม้: โรงไฟฟ้าระบบนิเวศเหล่านี้มีความสำคัญต่อการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก โปรแกรมการฝึกอบรมและการรับรองส่งเสริมแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในการปกป้องป่าดิบชื้น การป้องกันการขยายพื้นที่เพาะปลูกไปสู่ป่า ส่งเสริมสุขภาพของต้นไม้ ดิน และทางน้ำ และปกป้องผืนป่าพื้นเมือง

ภูมิอากาศ: ป่าไม้ยืนต้นเป็นวิธีแก้ปัญหาสภาพอากาศตามธรรมชาติที่ทรงพลัง โปรแกรมการรับรองส่งเสริมวิธีการจัดการที่ดินอย่างรับผิดชอบซึ่งเพิ่มการจัดเก็บคาร์บอนในขณะที่หลีกเลี่ยงการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แนวทางปฏิบัติที่ชาญฉลาดต่อสภาพอากาศที่อยู่ในโปรแกรมการฝึกอบรมและการรับรองด้านการเกษตรช่วยให้เกษตรกรสร้างความยืดหยุ่นต่อภัยแล้ง น้ำท่วม และการกัดเซาะหน้าดิน

สิทธิมนุษยชน: การรับรองส่งเสริมสิทธิของชาวชนบท แม้ว่าจะไม่มีโปรแกรมการรับรองใดที่สามารถรับประกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนได้ แต่ระบบมาตรฐานและการรับรองมีกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งในการประเมินและจัดการกับแรงงานเด็ก การบังคับใช้แรงงาน สภาพการทำงานที่ย่ำแย่ ค่าแรงต่ำ ความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ และการละเมิดสิทธิในที่ดินของชนพื้นเมือง การศึกษาอิสระแสดงให้เห็นว่าคนงานในฟาร์มที่ผ่านการรับรองมีแนวโน้มที่จะมีสภาพการทำงานที่ดีขึ้น อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล และการคุ้มครองแรงงาน

ความเป็นอยู่: แนวทางตั้งอยู่บนความเข้าใจว่าสภาพของระบบนิเวศและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชุมชนในชนบทนั้นต้องพึ่งพาอาศัยกัน การปรับปรุงโอกาสในการดำรงชีวิตที่ยั่งยืนสำหรับเกษตรกรรายย่อยและชุมชนป่าไม้เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการช่วยคนในชนบทให้พ้นจากความยากจน และการรับรองได้พิสูจน์แล้วว่านำมาซึ่งผลประโยชน์ทางการเงินที่วัดและประเมินค่าได้ให้แก่เกษตรกรและชุมชนป่าไม้ทั่วโลก

ทำไมสัญลักษณ์ต้องเป็นกบ? กบคือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า bioindicators ซึ่งหมายความว่าจำนวนกบที่มีสุขภาพดีบ่งชี้ว่ามีสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ (สิ่งที่ตรงกันข้ามก็เป็นความจริงเช่นกัน) Rainforest Alliance ได้เลือกกบต้นไม้ตาแดงเป็นสัญลักษณ์มานานกว่าสามสิบปีแล้ว เนื่องจากสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่มีตาสว่างตัวนี้มักพบในป่าร้อนชื้น ที่ซึ่งผู้ก่อตั้งเริ่มทำงานเพื่อปกป้องป่าฝนเขตร้อนในครั้งแรก ตั้งแต่นั้นมา ตรากบได้กลายเป็นสัญลักษณ์สากลแห่งความยั่งยืน

สัญลักษณ์กบมีมาตรฐานด้านความยั่งยืนแบบใด? ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร: สัญลักษณ์ Rainforest Alliance หมายความว่าผลิตภัณฑ์หรือส่วนผสมที่ระบุได้รับการปลูกในฟาร์มที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานเกษตรกรรมยั่งยืนของ Rainforest Alliance และ/หรือหลักจรรยาบรรณของ UTZ ผลิตภัณฑ์จากป่าไม้:

สำหรับผลิตภัณฑ์จากป่าไม้ เช่น บรรจุภัณฑ์กระดาษและกระดาษแข็ง สัญลักษณ์หมายความว่าผลิตภัณฑ์หรือบรรจุภัณฑ์นั้นมาจากป่าที่ผ่านการรับรองมาตรฐานของ Forest Stewardship Council® ซึ่ง Rainforest Alliance เป็นสมาชิกผู้ก่อตั้ง และธุรกิจที่ใช้สัญลักษณ์นั้นเป็นสมาชิกของ Forest Allies Initiative ธุรกิจการท่องเที่ยว: ธุรกิจการท่องเที่ยวเช่นโรงแรมและผู้ประกอบการท่องเที่ยวใช้กบสีเขียวเมื่อพวกเขาได้รับการรับรองตามมาตรฐานการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนของ Preferred by Nature (เดิมคือ NEPCon) ซึ่งเป็นที่ยอมรับโดย Global Sustainable Tourism Council ท่องเที่ยวที่ได้รับการรับรองจาก Rainforest Alliance

ตัวอย่างสินค้าที่ได้ตราสัญลักษณ์ Rain Forest

Credit: https://www.rainforest-alliance.org/

Tuesday 19 October 2021

ทำไร่ทำนา + ปลูกป่าผสม = วนเกษตร

ระบบ วนเกษตร หรือ Agro-Forestry เป็นศาสตร์ของการจัดการทรัพยากรในพื้นที่เพาะปลูก (Land resouce managemeng) อย่างเป็นระบบ โดยผสมผสาน การทำป่าไม้ (Forestry) การเพาะปลูกพืช (Agriculture) การทำปศุสัตว์ และการประมงเลี้ยงสัตว์น้ำ Animal husbandry, Aquaculture & Fisheries หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการทำการเกษตรโดยรวมหลากหลายชนิดของพืชและสัตว์มาไว้ในผืนดินเดียวกัน อย่างเหมาะสมและมีความสมดุล เพื่อให้ระบบมีความคล้ายคลึงกับระบบนิเวศน์ป่าทางธรรมชาติ ที่ความซับซ้อนและความหลากหลายทางชีวภาพ โดยผลผลิตจากพืชและสัตว์ที่เกิดขึ้น จะเป็นตัวเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้ทรัพยากรในดิน ในธรรมชาติบริเวณนั้นแบบองค์รวม เกิดผลผลิตหลากหลาย และหมุนเวียนธาตุอาหาร ให้สมดุลและมีเสถียรภาพและความยั่งยืนระยะยาว โดยสรุป การทำเกษตรแบบวนเกษตร ที่ดีจะช่วยเพิ่มความสามารถของผืนดินในการซึมซับน้ำ การรักษาน้ำใต้ดิน และลดการสูญเสียหน้าดิน

agro-forestry ประโยชน์จากใบไม้ที่ร่วงหล่น ของไม้ใหญ่
ปลูกไม้ใหญ่ควบคู่กับการทำไร่ | เครดิตภาพ : tunza.eco-generation.org

วนเกษตร หรือที่ถ้าเรียกให้เข้าใจชัดขึ้นว่า ระบบไร่นาป่าผสม มีความหมายตรงตัวคือ การทำเกษตรกรรม ทำไร่ทำนาหรือปลูกพืชไร่ (หรือไม้ชั้นล่าง) ควบคู่ไปกับการปลูกไม้ยืนต้นหนาแน่น จนดูคล้ายนิเวศน์ธรรมชาติของป่า ไม่ว่าจะเป็นปลูกไม้ผลหรือไม้ใช้สอย (โดยปลูกไม้ช้ันบนนี้ในหลายชั้นความสูง ลดหลั่นกันไป) โดยมีการผสมผสานกับการปลูกพืชผักสวนครัว พืชสมุนไพร หรือไม้พุ่มเตี้ย

โดยไม้ชั้นบนที่ใช้ควรมีกิ่งก้านแผ่ขยายออกเป็นวงกว้าง สามารถให้เป็นที่กำบัง ลดความรุนแรงของเม็ดฝนที่ตกกระทบผืนดิน ช่วยบังพายุ ฝน รวมทั้งควบคุมสภาพความชุ่มชื้นและอุณหภูมิ
ขณะที่ ไม้ชั้นล่าง ที่มีการปลูกแบบเป็นแปลงหมุนเวียน ให้ทั้งผลผลิตระยะสั้นแล้ว ยังช่วยฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน ไม้ชั้นล่างที่เลือกปลูกภายใต้ร่มเงาไม้ปกคลุม ควรเป็นพืชที่ไม่ต้องการแสงแดดมาก และสามารถรับประโยชน์จากความชื้นสูงจากการที่มีไม้ผล ไม้ยืนต้น (ไม้ชั้นบน) คอยเป็นกำบังแสงแดดรุนแรงให้

โดยเราแบ่งไม้ชั้นบนที่จะปลูกในแต่ละชั้นความสูง ตามระดับของแสงแดดที่ไม้แต่ละชนิดต้องการ เพื่อสามารถกำหนดตำแหน่งที่เหมาะสม  

  • พืชที่ต้องการแสงมาก พวกไม้ยืนต้น หรือไม้ใช้สอย เช่น สัก ประดู่ ยางนา หรือ ไม้ผล พวก หมาก มะพร้าว
  • พืชที่ต้องการแสงปานกลาง พวกไม้ผล เช่น มะม่วง มังคุด ทุเรียน ขนุน

และในกรณีที่พื้นดินมีขนาดกลางถึงใหญ่ การเลี้ยงสัตว์ตั้งแต่ การเลี้ยงเป็ดไก่ เลี้ยงปลาในนาข้าว หรือขุดบ่อปลา จะกระทั่งเลี้ยงหู หรือวัวควายในพื้นที่ กรณีที่พื้นที่เพียงพอ จะยิ่งช่วยพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ และเพิ่มศักยภาพของดินและประสิทธิภาพในการเพิ่มผลผลิต แถมยังสร้างความมั่นคงในเชิงเศรษฐกิจ จากการมีผลิตผลหลากหลาย ตอบโจทย์ทั้งการใช้ประโยชน์ภายในพื้นที่เอง หรือการจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้

จากนิยามข้างต้น เราจะห็นได้ว่าปัจจัยสำคัญอันดับแรกของ วนเกษตร ก็คือการมีไม้ยืนต้นปลูก "หนาแน่น" ให้เพียงพอกับความเป็น 'ป่า" ธรรมชาติ เพื่อสร้างนิเวศน์ป่าในพื้นที่การเกษตร

ปัจจัยบวกของการมีไม้ยืนต้นในแปลงเกษตร

  1. ไม้ยืนต้น ไม่ว่าจะเป็นไม้ผลหรือไม่ใช้สอย เป็นตัวเพิ่มรายได้ให้กับเกษตกร ในระยะยาว
  2. เป็นตัวช่วยให้เกษตรกรมี "ไม้" ไว้ใช้ประโยชน์อย่างหลากหลาย เช่น เป็นไม้ฟืน ไม้ค้ำยัน ไม้สร้างบ้าน โดยไม่ต้องเสียเงินไปหาซื้อ
  3. ต้นไม้ใหญ่รีไซเคิลธาตุอาหารได้มาก จากการดูดซับสารอาหารจากสภาพแวดล้อม แปรสภาพเป็นลำต้น กิ่งก้าน และใบไม้ที่ร่วงหล่น ซึ่งที่สุดก็สลายคืนสู่ดินกลายเป็นปุ๋ยชีวภาพ
  4. ระบบนิเวศน์ไม้ใหญ่ดึงดูดสัตว์เล็กนกกาเข้ามาอยู่อาศัย เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้ระบบนิเวศน์ ลดการใช้ปู๋ย ยาฆ่าแมลงหรือยากำจัดศัตรู
  5. ไม้ใหญ่ช่วยกำบังลม และแสงแดด ลดการเกิดของวัชพืช

เงื่อนไขพื้นฐานของการเลือกพันธ์ไม้ยืนต้นในระบบวนเกษตร

  • ควรเลือกพันธ์ไม้ที่ไม่ต้องการน้ำมากเกินไป จนแย่งน้ำของพืชตัวหลัก
  • ควรเลือกพันธ์ไม้ที่มีระบบรากไชลึก เพื่อจะได้ชอนไชลงหานำ้จากแกล่งใต้ดินชั้นลึก
  • ควรเลือกพันธ์ไม้ที่กิ่งก้านแผ่ขยายและแตกใบค่อนข้างโปร่ง เพื่อให้แสงแดดสามารถส่องลงไปสู่ไม้ชั้นล่างได้
  • ควรเลือกพันธ์ไม้โตเร็ว โดยเฉพาะพันธ์ไม้ใช้สอย เพื่อให้ช่วงที่ปลูกโตจนพร้อมใช้ และลงปลูกใหม่ ใช้เวลาไม่นานนกั
  • ควรเลือกพันธ์ไม้ไม่"แย่ง"ธาตุอาหารจากพืชหลัก แต่เพิ่มเติมธาตุอาหารให้ผืนดิน เช่น พืชตระกูลถั่ว ที่มีใบย่อยสลายง่าย มีธาตุไนโตรเจนสูง ฟื้นสภาพดินได้รวดเร็ว

วนเกษตร มีทางเลือกในการปฏิบัติทางการเกษตรแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น และสภาพพื้นที่ โดยนักวิชาการได้จัดแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ 5 ประเภท ดังนี้

  1. วนเกษตรแบบบ้านสวน การปลูกไม้ป่าผสมในลักษณะนี้ จะมีต้นไม้และพืชผลหลายชั้นความสูง โดยเน้นปลูกไม้ผล ที่ให้ผลประเภทกินได้ และไม้สำหรับใช้สอยในครัวเรือน เพื่อเป็นไม้ฟืนและถ่าน และพืชสมุนไพรและผักสวนครัว วนเกษรประเภทนี้ เหมาะกับเกษตรกรที่มีพื้นที่ในการปลูกไม่มาก เช่น พื้นที่สวนหลังบ้าน
  2. วนเกษตรที่มีต้นไม้แทรกในไร่นา หรือทุ่งหญ้า เหมาะกับพื้นที่ซึ่งมีลักษณะสูงๆ ต่ำๆ โดยปลูกต้นไม้เสริมในที่ที่ไม่เหมาะสมกับพืชผล เช่น ที่เนิน หรือที่ลุ่มน้ำขัง และปลูกพืชในที่ราบ หรือที่ไม่สม่ำเสมอ
  3. วนเกษตรที่มีต้นไม้ล้อมนาไร่ การปลูกต้นไม้ล้อมพื้นที่นาข้าว และที่ราบลุ่มปลูกพืชไร่ ที่ซึ่งมีลมแรง และพืชผลมีโอกาศได้รับความเสียหายจากลมพายุอยู่เสมอ การปลูกต้นไม้โตเร็วยืนต้นรอบคันนา ยังเพิ่มความชุ่มชื้น บังแดดบังลมให้กับนาข้าวด้วย ผลผลิตไม้ก็สามารถนำมาใช้สอยในครัวเรือน เป็นถ่านเป็นฟืน
  4. วนเกษตรที่มีแถบต้นไม้และพืชผลสลับกัน เหมาะกับพื้นที่ที่มีความลาดชันเป็นแนวยาวน้ำไหลเซาะหน้าดินมาก แถบต้นไม้ซึ่งปลูกไว้สองถึงสามแถวสลับกับพืชผลเป็นช่วงๆ ปลูกขวางความลาดชัน จะช่วยรักษาหน้าดิน และในระยะยาวจะทำให้เกิดขั้นบันไดดินแบบธรรมชาติให้กับพื้นที่ สำหรับแถบพืช อาจมีความกว้าง 5-20 เมตร ตามความเหมาะสมของพื้นที่
  5. วนเกษตรที่ใช้พื้นที่หมุนเวียนปลูกไม้ยืนต้น พืชผล และเลี้ยงสัตว์ เหมาะกับพื้นที่ที่มีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ซึ่งมีพื้นที่พอที่จะปลูกพืชผลเป็นแปลงหมุนเวียน โดยมีแปลงไม้ยืนต้นร่วมกับการเลี้ยงสัตว์แบบหมุนเวียนเพื่อฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ให้กับผืนดิน

ระบบ วนเกษตร นอกจากจะเป็นแนวทาง ในการทำเกษตร เพื่อให้ได้ผลผลิตอย่างยั่งยืน ตามนิยามข้างต้นแล้ว วนเกษตร ยังรวมถึงทำป่าไม้ผสมผสานร่วมกับการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ ในบริเวณชายขอบระหว่าที่ดินเกษตรกร และรอยต่อที่ดินติดกับป่าด้วย หรืออาจเป็นการปลูกพืชเกษตร หรือการปลูกพืชเกษตรร่วมกับการเลี้ยงสัตว์ในสวนป่า โดยเฉพาะที่กระทำโดยราษฎรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายขอบป่า ในเขตอ่อนไหว ซึ่งอาจเป็นทางออกที่ประณีประนอมสำหรับการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างความต้องการที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมและความต้องการรักษาป่าไม้เพื่อควบคุมสภาพสิ่งแวดล้อม ทำให้วิถีของคนและป่าสามารถดำเนินควบคู่กัน ไปโดยคำนึงถึงสภาพทางสังคมเศรษฐกิจและวัฒนธรรมประเพณี รวมทั้งช่วยพัฒนาความเป็นอยู่ของราษฎรที่เกี่ยวข้อง

Agro-Forestry System | ที่มาภาพ : Forestrypedia.com

***มันอาจจะเป็นทางออกสุดท้ายของการเพิ่มปริมาณต้นไม้ของมนุษย์ ทดแทนการที่ป่าถูกทำลายจากการบริโภคและตัดไม้ทำลายป่า


แหล่งอ้างอิงข้อมูลและรูปภาพ:
https://tunza.eco-generation.org/m/index.jsp
https://www.opsmoac.go.th/km-km_org_center-files-401591791808
https://www.matichon.co.th/sme/news_95430
https://www.naewna.com/local/400766
http://www.nawachione.org/2012/10/29/sustainable-agriculture/
http://ecoursesonline.iasri.res.in/mod/page/view.php?id=14511
https://forestrypedia.com/agroforestry-system-detailed-note/
https://en.wikipedia.org/wiki/Agroforestry


ติดตามสาระห่วงไยสิ่งแวดล้อม 〜
🌐 : greentips.net
Facebook: Bio100Percent
IG: instagram.com/bio100plus
Line: @BIO100
Blockdit : GREENTIPS
🅱logger : GREENTIPS by BIO100

Thursday 14 October 2021

กรีนไฮโดรเจน(2)

กรีนโฮโดรเจน เป็นพลังสะอาด ?

ความจริงไฮโดรเจนเป็นพลังงานที่สะอาดโดยพื้นฐาน เราสามารถผลิตได้จากการนำน้ำ Water (H2O) มาทำปฎิกิริยา electrolyte เพื่อแยกโมเลกุลของน้ำ ซึ่งประกอบด้วยอะตอมของไฮโจรเจน (H) และอะตอมของอ็อกซิเจน (O) ออกจากกัน



ที่สำคัญ ก๊าซไฮโดรเจน (Hydrogen) ขณะที่ถูกนำไปใช้มีการเผาไหม้สมบูรณ์ ให้กำเนิดไอน้ำ (H2O) โดยไม่ก่อให้เกิดก๊าคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ก๊าซเรือนกระจกหรือก๊าซพิษอื่นๆ เหมือนเชื้อเพลิงประภทให้พลังงานสูงอื่นๆ อย่างก๊าซธรรมชาติ ฟอสซิล หรือถ่านหิน

เพียงแต่มีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือกระบวนการผลิตให้ได้กรีนไฮโดรเจน Green Hydrogen ก็คือเราต้องใช้พลังสะอาดมาเป็นแหล่งพลังงานในการเพื่อสร้างปฎิกิริยา electrolyte แยกอะตอมไฮโดรเจนออกมา

H ไฮโดรเจนเหมาะที่จะถูกนำไปเป็นเชื้อเพลิงคุณภาพสูง สามารถให้พลังความร้อนได้ในอุณหภูมิสูงถึง 1500 องศาเซลเซียส ทำให้มันเป็นเชื้อเพลิงที่ดีเลิศสำหรับอุตสาหกรรมหนักอย่างโรงถลุงเหล็ก โรงปูนซีเมนต์อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ ไฮโดรเจนยังถูกใช้เป็นพลังงานหลักในภารกิจขับเคลื่อนอากาศยานหรือจรวด(ในโครงการปล่อยดาวเทียม และ/หรือยาน สำรวจอวกาศ) ที่มีความต้องการเชื้อเพลิงที่สามารถสร้างพลังงานขับมหาศาล โดยถูกใช้เป็นเชื้อเพลิงโดยตรง และ/หรือเป็นองค์ประกอบสำคัญหรือหรือสตัวเร่งปฎิกิริยาเคมีที่จำเป็น


นอกจากนั้น ไฮโดรเจนเป็นยังเป็นพลังงานที่ตอบโจทย์การใช้งานในธุรกิจขนส่งทางทะเล เพื่อขับเคลื่อนเรือเดินสมุทร หรือเรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ หรือเป็นเชื้อเพลิงให้เครื่องกำเนิดความร้อนสำหรับอาคารในฤดูหนาว(ที่อากาศหนาวมาก) ทดแทนก๊าซธรรมชาติหรือฟอสซิลที่ปัจจุบันใช้เป็นตัวหลัก แต่ก็สร้างมลภาวะปล่อยก๊าซเรือนกระจก

กรีนไฮโดรเจน พลังงานอนาคต | ที่มา: CNN news

มีการประเมินว่าถ้าเราสามารถผลิตไฮโดรเจนเพื่อทดแทนพลังงาน(ไม่สะอาด)ที่เรามีความต้องการใช้อยู่ในปัจจุบันได้ทั้งหมด เราจะสามารถลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก CO2 ได้มากถึง 830 ล้านตันเลย แน่นอนมันไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้สำเร็จในเร็ววัน เรายังต้องพัฒนาเทคโนโลยีและเพิ่มกำลังผลิตพลังสะอาด (green energy) อื่นๆให้สามารถเพิ่มปริมาณอีกอย่างน้อย 3000 TWh ต่อปี (หรือเทียบเท่าอุปสงค์ของพลังสะอาดที่ทวีปยุโรปต้องการ ณ ปัจจุบัน)


ซึ่งนับเป็นข่าวดี ที่ขณะนี้ทั่วโลกให้ความสนใจเทคโนโลยีพลังสะอาดกันเป็นวงกว้าง แและมีการนำพลังสะอาด (ทั้งพลังจากลม และพลังจากแสงอาทิตย์) ไปใช้ผลิตกรีนไฮโดรเจนและมีการพัฒนาเพื่อเพิ่มปริมาณกำลังผลิต ระบบจัดเก็บ เพิ่มจุดกระจายและสถานที่ใช้งานมากขึ้นเรื่อยๆ เชื่อว่าในไม่ช้าต้นทุนการผลิตจะต่ำลง และเพิ่มปริมาณโดยเร็ว จนอนาคตไฮโดรเจนจะไม่ใช่เป็นเพียงทางเลือก แต่จะเป็นแกนหลักของพลังสะอาด


ประเทศจีน

ที่จีน ปัจจุบันมีการติดตั้งกังหังลมและโซล่าฟาร์มขนาดใหญ่หลายแห่ง (กำลังไฟฟ้าที่ผลิตเพิ่มถึง 80-100 กิกะวัตต์ต่อปี) และเนื่องจากข้อจำกัดเรื่องความไม่สม่ำเสมอของกำลังผลิตไฟฟ้าจากทั้งกังหันลมและแผงโซล่า ทำให้การส่งไฟฟ้าที่ปั่นขึ้นมาได้เข้าไปสู่สายส่งแรงสูงมีความไม่เสถียร ที่จะส่งต่อผ่านยังเครือข่ายสายไฟฟ้าโดยตรง(แบบเรียลไทม์)ตลอดเวลา ยังมีความจำเป็นที่จะต้องเก็บสำรองพลังงานในแบตเตอรี่สำรองไฟขนาดใหญ่ ทั้งเพื่อควบคุมปริมาณไฟฟ้า เก็บสำรองไว้กรณีช่วงพีค และนำออกจ่ายในช่วงออฟพีค ในตอนกลางคืนหรือช่วงที่ไม่มีลม

ฟาร์มพลังลม ประเทศจีน | ที่มา : Global Times


ปัญหาเรื่องการต้องมีระบบจัดเก็บสำรอง ต้นทุนการบริหารจัดการ ระบบความปลอดภัยจึงเป็นเรื่องจำเป็น และสร้างภาระเป็นอย่างมาก ล่าสุดในเดือนเมษายนที่ผ่านมา อุบัติเหตุการระเบิดครั้งใหญ่ที่ฟาร์มโซล่าที่กรุงปักกิ่ง ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของเหตุการณ์ที่สร้างความหนักใจและชี้ให้เห็นความจำเป็นในการหาทางออก ขณะนี้ทางจีนกำลังให้ความสนใจในการพัฒนาสายการผลิตกรีนไฮโดรเจนเพื่อสามารถนำพลังสะอาด (ใช้ลมและแสงอาทิตย์แยกน้ำออกมา) ไปใช้งานโดยตรง แทนที่จะส่งเข้าสู่การเก็บสำรองในแบตเตอรี่ (ก่อนจ่ายออกสู่สายส่ง อีกทอดหนึ่ง)

แน่นอน ระบบการบรรจุและขนส่งไฮโดรเจนออกไปสู่จุดใช้งานก็เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากเป็นก๊าซที่ไวไฟ ขณะนี้ ประเทศจีนโดย China Petrochemical Corp ผู้ผลิตไฮโดรเจนรายใหญ่ด้วยกำลังผลิตมากกว่า 3.5 ล้านตันต่อปี หรือ 14% ของจีน ได้พัฒนาระบบถังเก็บใต้ดินลึก 150 เมตร ที่มีความจุมากพอที่จะจ่ายให้ก๊าซได้มากถึง 1 ตันต่อวัน เช่นที Chongqing ทำให้สามารถใช้เป็นไฮโดรเจนเชื้อเพลิงขับเคลื่อนรถต้นแบบพลังไฮโดรเจน ทั้งรถประจำทางและรถขนส่งที่เริ่มออกวิ่งในเมืองได้แล้ว โดยปัจจุบัน ได้สร้างถังบรรจุและจุดจ่ายก๊าซไปแล้ว 21 แห่งใน 14 เมือง โดยในอนาคตอันไกล้จะเพิ่มเป็น 1000 จุดทั้งใน Guangdong, Shanghai และ Hainan

การพัฒนาระบบโลจิสติกส์เพื่อกระจายออกออกไปสู่การใช้งานจริงเป็นนโยบายแห่งชาติ นำโดย Beijing Municipal Burea of Economy and Information Technology (สถาบันเพื่อเศรฐกิจและสาระสนเทศแห่งปักกิ่ง) ได้จัดตั้งศูนย์กลางที่รวบรวม 10-15 องค์กรที่อยู่แถวหน้าของอุตสาหกรรมผลิตไฮโดรเจน กับหน่วยงานวิจัยและพัฒนาชั้นนำ 3-4 สถาบัน ร่วมทำแผนงาน ในระดับนานาชาติ โดยจีนตั้งเป้าหมายลดต้นทุน และเพิ่มกำลังผลิตพลังสะอาดเพื่อนำไปผลิต กรีนไฮโดรเจน Green Hydrogen ให้ได้ 100% ภายในปี 2030 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการบรรลุข้อตกลง Net Zero (carbon emission) ในปี 2060 ให้ได้


อุตสาหกรรมรถยนต์

กลุ่มบริษัทของเกาหลีใต้ ผู้ผลิตรถยนต์สัณชาติเกาหลีในแบรนด์ ฮุนได และเกีย ประกาศเมื่อต้นกันยายนที่ผ่านมาว่าจะใช้พลังไฮโดรเจนสำหรับ "everything" ผลิตภัณฑ์ทุกอย่าง ตั้งแต่ ขับเคลื่อนรถยนต์ รถไฟ เรือ เครื่องบิน หรือจ่ายพลังงาน(ไฟฟ้า ความร้อน) ให้กับบ้านเรือน อาคารสำนักงาน หรือแม้กระทั่งตัวโรงงานกำเนิดไฟฟ้าเอง

Hyudai Motor ประสบความสำเร็จในการผลิตรถบรรทุกที่ใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิง และสามารถนำออกจำหน่ายจริง โดยมีการส่งออกไปยังประเทศสวิส ตั้งแต่ปี 2020

แผนต่อไปของบริษัทคือการพัฒนาเชื้อเพลิงไฮโดรเจน fuel cell system ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นเพื่อนำใช้ในขับเคลื่อนรถยนต์นั่งแบบ FCEV (fuel cell electric vehicles)รุ่นต่อไปของบริษัท ให้มีความจุในการเก็บเชื้อเพลิงพลังงานได้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่าตัวจากปัจจุบัน แต่ลดขนาดถังบรรจุลินทรีย์ลง 30% จากเดิม โดยใช้ต้นทุนการผลิตต่ำลง 50% จากปัจจุบัน ภายในปี 2023 หรืออีกเพียง 2 ปีจากนี้

โดยบริษัทตั้งเป้าว่าจะสามารถสร้างรถยนต์ที่ใช้ไฮโดรเจนในราคาระดับเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้า ในเวลาไม่เกินปี 2030

Fuel Cell Electric Vehicle | ที่มา : https://tech.hyundaimotorgroup.com/fuel-cell/fcev/

Toyota Motor เองก็พัฒนารถยนต์ไฮโดรเจน เพื่อขานรับแนวโน้มโลกที่นำไฮโดรเจนมาเป็นพลังงานทางเลือก โดยตั้งแต่ปี 2014 ค่ายรถยนต์โตโยต้าได้ผลิตรถยนต์ Mirai และนำออกจำหน่ายมาแล้ว ซึ่ง ณ ตอนนั้นก็ถือว่าเป็นก้าวหน้าของอุตสาหกรรม รถรุ่นนั้นมีอัตราการวิ่งที่ระยะทางไกลเทียบเท่ารถใช้น้ำมัน (ก๊าซไฮโดรเจนน้ำหนักเท่ากับน้ำมันเชื้อเพลิง สามารถสร้างพลังงานขับเคลื่อนรถยนต์ได้มากกว่าถึง 3 เท่า) โดยโตโยต้าได้ส่งรถจำหน่ายออกจำหน่ายเป็นทางการ และแม้จำนวนจะน้อย เพียง 11,000 คันทั้งที่ผ่านมา 6 ปีแล้ว แต่ก็เป็นก้าวแรกที่สำคัญ

Toyota Mirai 2021 | ที่มา : https://www.cnet.com/roadshow/news/toyota-mirai-845-mile-guinness-world-record/

ล่าสุด เดือนคุลาคม 2021 Toyota ได้เปิดตัว รถยนต์ Mirai Model 2021 รุ่น ที่วิ่งได้ไกลถึง 1360 km ด้วยการเติมเชื้อเพลิงเพียงครั้งเดียว (ใช้เวลาเพียง 5 นาที) ที่สถานีเติมก๊าซ โดยทำลายสถิติ Guniess World Record แถมท้ายด้วยการที่รถปล่อยไอเสียออกมาเป็นไอน้ำ H2O แบบสะอาดรักษ์โลก **โตโยต้าประเมินว่า ถ้าใช้รถที่วิ่งด้วยน้ำมันแบบทั่วไป จะมีการปล่อยก๊าซ CO2 ประมาณ 295 กิโลกรัมเป็นอย่างน้อย


ที่สุดแล้ว การขยายตัวของพลังงานทางเลือก กรีนไฮโดรเจนจะเป็นจริงได้เร็วหรือช้า ฝ่ายนโยบายของรัฐในแต่ละประเทศคงต้องมีส่วนร่วมผลักดัน ไม่ว่าจะเป็นการออกนโยบายบังคับเอกชนให้ต้องมีส่วนร่วมลดพัฒนาเทคโนโลยี่โลกร้อน ออกมาตรการช่วยเหลือเพื่อสร้างแรงจูงใจ เช่นการชดเชยต้นทุนเริ่มต้น ลดภาษี สนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น เพราะงานนี้เป็นงานยาก จากตัวเลขปัจจุบัน กำลังผลิดกรีนไฮโดรเจนทั่วโลกต่อปีที่ 1 GW of hydrogen electrolyzers เทียบกับเป้าหมายที่เรามีความต้องการพลังงานสะอาดมาใช้ตอบโจทย์เรื่องลดโลกร้อน คิดออกมาได้เป็นเพียง 1 ส่วน 1000 เท่านั้น ... เราต้องทำการบ้านอีกมากโข

Hydrogen - essential to Net Zero | ที่มา : MarketWatch.com

ที่มาของข้อมูล:
Wikipedia
iberdrola.com
GlobalTimes
ChinaDaily
HyundaiMotorGroup
Xinhuanet.com
CNet.com
MarketWatch.com


กรีนไฮโดรเจน ภาคแรก

https://www.bio100percent.com/environmental/green_hydrogen/

ติดตามเรื่องสาระสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ธรรมชาติที่ 🪀

🌐 : greentips.net
Facebook: Bio100Percent
IG: instagram.com/bio100plus
Line: @BIO100
Blockdit : GREENTIPS
🅱logger : GREENTIPS by BIO100

Monday 11 October 2021

กินเจ กู้โลก

รู้หรือไม่ ลดสเต็กเนื้อหนึ่งชิ้น สามารถประหยัดน้ำไปได้ถึง 800 แกลลอน


ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราเห็นความพยายามในการที่จะลดปัญหาภาวะโลกร้อน (global warming) และ สภาพอากาศผันผวน (climate change) จากหลายภาคส่วน หลากโครงการ แต่ทุกคน รู้หรือไม่ ว่าหนึ่งในวิธีการที่มีประสิทธิภาพและสามารถทำได้ทันที คือ การกินเจ หรือ การงดบริโภคเนื้อสัตว์ และ ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของนม



นอกจากประโยชน์ในเชิงสุขภาพ การกินเจยังมีประโยชน์กับโลกในหลายประการ



ประการแรก: ประหยัดน้ำ

ค่าเฉลี่ยโลกของปริมาณน้ำที่ถูกใช้ (water footprint) ในอุตสาหกรรมการผลิตเนื้อ คือ 15,400 ลิตรสำหรับการผลิตเนื้อวัวหนึ่งกิโล 6,000 ลิตรสำหรับการผลิตเนื้อหมูหนึ่งกิโล และ 4,330 ลิตรสำหรับการผลิตเนื้อไก่หนึ่งกิโล

ส่วนใหญ่ของปริมาณน้ำถูกใช้ไปกับอาหารสัตว์ โดยเฉพาะข้าวสาลี (wheat) การปลูกข้าวสาลีหนึ่งกิโลกรัม ใช้น้ำถึง 1,000-2,000 ลิตร

ประการที่สอง: ลดปริมาณการปล่อยคาร์บอน

หากคนคู่หนึ่งเปลี่ยนมาบริโภคเจเป็นเวลาหนึ่งปี จะช่วยลดการปลดปล่อยคาร์บอนได้ถึง 2,440kg CO2 หรือ เทียบเท่ากับการปล่อยคาร์บอนของรถยนต์ขนาดเล็กของครอบครัวหนึ่งในเวลา 6 เดือน

ประการที่สาม: ลดปริมาณการปล่อยมีเทน

วัวและแกะ ปล่อยแก๊สมีเทนถึง 37% ของปริมาณแก๊สมีเทนที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ แก๊สเหล่านี้เกิดจากกระบวนการย่อยอาหารและการขับถ่ายของสัตว์ในปศุสัตว์ ซึ่งมีเทนนั้นเป็นแก๊สที่มีอันตรายกับบรรยากาศของโลกมากกว่าแก๊สคาร์บอนไดออกไซส์ถึง 25 เท่า

นอกจากนั้นในงานวิจัยของ Vasile Stanescu, Mercer University ระบุว่า สัตว์ที่ถูกเลี้ยงด้วยวิธีการสมัยใหม่ที่เรียกกันว่า organic หรือ free-range อาจผลิตมีเทนมากกว่าสัตว์ที่เลี้ยงด้วยวิธีการปกติอีกด้วย

ประการที่สี่: ลดปริมาณการปล่อยแอมโมเนียและไนเตรต

อุตสาหกรรมสัตว์ปีกปล่อยแก๊สแอมโมเนียปริมาณมาก ซึ่งก่อให้เกิดฝนกรด อีกทั้งยังปล่อยไนเตรตมากถึง 64% เมื่อเทียบกับปริมาณไนเตรตที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ไนเตรตส่วนมาก มาจากของเสียที่เหล่าสัตว์ปีกขับถ่ายออกมา

ไนเตรตเป็นหนึ่งในสารที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน โดยมีอันตรายกับโลก (Global Warming Potential - GWP) มากถึง 300 เท่าเมื่อเทียบกับแก๊สคาร์บอนไดออกไซส์
เมื่อคำนึงถึงความอันตรายของไนเตรตต่อโลก หากเราสามารถลดการปล่อยสารชนิดนี้ได้ คงจะดีไม่น้อยอย่างแน่นอน

ประการสุดท้าย: ลดมลพิษทางน้ำ

มลพิษทางน้ำที่เกิดจากปศุสัตว์มีสาเหตุหลักมาจาก มูลสัตว์ ของเสียที่สัตว์ขับถ่าย, antibiotic, ยาฆ่าแมลงที่ปศุสัตว์นั้น ๆ ใช้

มูลสัตว์ หรือ น้ำเสียที่มีมูลสัตว์ ทำลายระบบนิเวศของแม่น้ำ และ ลำธาร สัตว์ในฟาร์มทั่วโลกผลิตอุจจาระได้มากถึง 130 เท่าของประชากรทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา หากปศุสัตว์นั้น ๆ ไม่มีระบบกำจัดสิ่งปฏิกูล และ บำบัดน้ำเสียที่ดี ของเสียเหล่านี้จะกลายเป็นมลพิษต่อน้ำ ดินชั้นบน และ กลายเป็นสิ่งปนเปื้อนในอากาศ

antibiotic และ ยาฆ่าแมลงต่าง ๆ รวมทั้งไนโตรเจน ฟอสฟอรัส ยาปฏิชีวนะ เมื่อปนเปื้อนลงไปในน้ำสามารถก่อให้เกิดความเสียหายต่อแหล่งน้ำ รวมถึงชีวิตมนุษย์ที่เกี่ยวพันกับแหล่งน้ำนั้น ๆ สารเหล่านี้สร้างปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ หรือ ปรากฏการณ์สาหร่ายสะพรั่ง ซึ่งเป็นการสะพรั่งของตะไคร่ทะเล ตะไคร่เหล่านี้จะ ปิดกั้นทางน้ำ ขโมยออกซิเจนเพื่อใช้ในการสลายตัว และฆ่าประชากรปลาตาม

กินเจ อาจเป็นหนึ่งในทางออกให้กับโลกธรรมชาติ

จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าการกินเจมีประโยชน์มากมายกับโลก และ เป็นหนึ่งในวิถีที่เราสามารถทำได้เลย โดยที่ไม่ต้องลงทุนมากมาย เราอาจจะไม่ต้องกินเจทุกมื้อก็ได้ในตอนเริ่มต้น หากแต่เราใส่ใจในปริมาณการบริโภคเนื้อสัตว์ และ ผลิตภัณฑ์นมมากขึ้น ลด หรือ หาผลิตภัณฑ์ทางเลือกจากพืชมาทดแทนในสัดส่วนที่เหมาะกับตนเอง เราก็สามารถที่จะช่วยโลกอย่างค่อยเป็น ค่อยไปได้

ผลิตภัณฑ์พืชที่เราจะนำมาบริโภคทดแทนก็มีความสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น นมทางเลือกแทนการบริโภคนมวัว มีทั้งนมถั่วเหลือง นมข้าว นมโอ็ต นมมะพร้าว หรือ นมแอลมอน หากวัดกันจากมุมมองทางสิ่งแวดล้อม อาจกล่าวได้ว่า นมถั่วเหลืองเป็นนมทางเลือกที่ดีที่สุด นักวิจัยที่เปรียบเทียบหน่วยพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลที่จำเป็นในการผลิตนมและถั่วเหลือง พบว่าต้องใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล 14 กิโลแคลอรี ในการผลิตนม 1 กิโลแคลอรี ในขณะที่เชื้อเพลิงฟอสซิลเพียง 1 กิโลแคลอรีสามารถผลิตถั่วเหลืองได้ 3.2 กิโลแคลอรี การวัดนั้นครอบคลุมถึงปริมาณปุ๋ย ยาฆ่าแมลง และปัจจัยการผลิตทางอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ใช้ในการเกษตรแล้ว

อย่างไรก็ตาม ในการประเมินผลกระทบเชิงสิ่งแวดล้อมนั้น เราไม่สามารถวัดได้จากปริมาณเชื้อเพลิงอย่างเดียว อาจจะต้องมีการประเมินถึงแหล่งที่มาอื่น ๆ เช่น ปริมาณน้ำ หรือ ขั้นตอนในการแปรรูปอื่น ๆ เช่นกัน

การมีผลิตภัณฑ์ทางเลือกมากขึ้นในปัจจุบัน เป็นสัญญาณที่ดี เพราะ ตัวเลือกที่มีมากขึ้น ย่อมเป็นผลดีกับความพึงพอใจ และ ความต้องการที่หลากหลาย และ แตกต่างกันของแต่ละปัญเจก และ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เราจะได้เห็นตัวเลือกที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต


แหล่งข้อมูลอ้างอิง :
https://www.peta.org/issues/animals-used-for-food/fight-the-climate-crisis/
https://www.nrdc.org/stories/shrink-your-carbon-footprint-ease-dairy
https://waterfootprint.org/en/resources/interactive-tools/product-gallery/
https://vegsoc.org/info-hub/why-go-veggie/environment/
http://earthsave.org/globalwarming.htm
https://www.downtoearth.org/go-veggie/environment/top-10-reasons
https://www.carbonfootprint.com/calculator.aspx


ติดตามสาระห่วงไยสิ่งแวดล้อม 〜
🌐 : greentips.net
Facebook: Bio100Percent
IG: instagram.com/bio100plus
Line: @BIO100
Blockdit : GREENTIPS
🅱logger : GREENTIPS by BIO100

Sunday 10 October 2021

กรีนไฮโดรเจน พลัง(สะอาด)อนาคต

ระยะหลังเวลาเราพูดถึงพลังสะอาดกัน เราก็มักคิดถึงพลังแสงอาทิตย์ (Solar Energy) และพลังลม (Wind Energy) แตีมีอีกตัวที่ขณะนี้ยังไม่ได้เป็นกระแสหลัก แต่ก็มีการวิจัยและพัฒนากันมาตลอดเวลา Hydrogen Gas



Hydrogen ไฮโดรเจนเป็นธาตุพื้นฐานที่น่าจะมีมากที่สุดในโลกแล้ว อย่างน้อยก็บนผืนพิภพเพราะมันเป้นส่วนประกอบของน้ำ (H2O) ที่โดยในหนึ่ง (1) โมเลกุลของน้ำจะประกอบไปด้วย 1 อะตอมของ (O) อ็อกซิเจนและ 2 อะตอมของ (H) ไฮโดรเจน และเรามีน้ำอยู่ปกคลุมกว่า 71% ของพื้นผิวโลก
ที่สำคัญ ไฮโดนเจนเป็นพลังงานทางเลือกที่เหมาะมากกับการใช้ในอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้พลังงานมาก และเหมาะมากกับการใช้ขับเคลื่อนอุปกรณ์หรือพาหนะขนาดใหญ่ เช่น เครื่องบินหรือเรือเดินสมุทร ปัจจุบันมีการสร้างโรงงานผลิตกรีนไฮโดรเจน"สีเขียว" (Green Hydrogen) โดยเฉพาะในรูปของแแก็ซในที่ต่างๆทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นที่สหรัฐอเมริกา ยุโรป จีน ออสเตรเลีย หรือแม้กระทั่งประเทศแถบอาฟริกา ความต้องการใช้พลังงานจากไฮโดรเจนจะเพิ่มสูงขึ้นมากจนแตะ 11ล้านล้านเหรียญสหรัฐทีเดียว










ที่มาภาพ:
edition.cnn.com
🌿 และทำไมเราต้องการกรีนไฮโดรเจนด้วย ? ทำไมมันถึงสำคัญกับอนาคตทางด้านพลังงานของโลกเรา ถ้ามีโอกาสจะมาเล่าให้ฟังเพิ่มเติมอีกครับ
ติดตามเรื่องสาระสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ธรรมชาติได้ที่ 🌿
𝕗𝕒𝕔𝕖𝕓𝕠𝕠𝕜: @Bio100Percent

โพสต์เด่น

10 ไม้ยืนต้นออกดอกสวย

มาสู้โลกร้อนกันด้วยการ ปลูกต้นไม้ในบ้านกัน นอกจากลดการใช้พลังงานฟอสซิล หันมาใช้พลังงานสะอาด ก็คือช่วยการปลูกต้นไม้ 🌳 🌿 🌱 เพิ่มพื้นท...

โพสต์น่าสนใจ