Thursday 30 September 2021

ประเภทของจุลินทรีย์ MYCO-101





จุลินทรีย์เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ประกอบด้วยเซลล์เดียว (Unicellular) หรือหลายเซล์ (Multicellular) แต่ทว่าเซลล์เหล่านั้นต่างก็เป็นเซลล์ชนิดเดียวกันและมีรูปร่างเหมือนกัน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เพื่อทำหน้าที่เฉพาะเหมือนในสิ่งมีชีวิตชั้นสูง จุลินทรีย์สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆตามประเภทของเซลล์ คือ

  1. โปรคารีโอต คือ ไม่มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส เช่น แบคทีเรียและสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน
  2. ยูคารีโอต คือ มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส เช่น เชื้อรา โปรโตซัว และสาหร่ายต่างๆ ยกเว้นสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน

ประเภทของจุลินทรีย์

  1. แบคทีเรีย (Bacteria)
  2. เชื้อรา (Fungi)
  3. โปรโตซัว (Protozoa)
  4. สาหร่าย (Algae)
  5. ไวรัส (Virus)

มาทำความรู้จักกับจุลินทรีย์แต่ละประเภทกัน

แบคทีเรีย (Bacteria)

เป็นจุลินทรีย์ที่มีขนาดเล็กมาก ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ที่มีกำลังขยายสูงส่องดูจึงมองเห็นประกอบด้วยเซลล์เพียงเซลล์เดียว และเป็นพวกโปรคารีโอต มีผนังเซลล์ที่คงรูป (Rigid cell wall) ทำให้แบคทีเรียรักษารูปร่างได้ แบคทีเรียมีรูปร่างได้หลายแบบมีเพศและไม่มีเพศ โดยแบบมีเพศเกิดจากการรวมตัวของเซลล์ 2 เซลล์ ส่วนการสืบพันธุ์แบบไม่มีเพศโดยทั่วไปเป็นแบบ Binary fission บ้างก็เป็นการแตกหน่อ (Budding) แบคทีเรียสามารถพบได้ทั่วๆไปไม่ว่าจะเป็นดิน น้ำ อากาศ มีทั้งชนิดที่ให้ประโยชน์และบางชนิดก็เป็นโทษ ตัวอย่างของแบคทีเรีย เช่น Bacillus spp. Lactobacillus spp. Streptococcus spp. Staphylococcus spp. Escherichia coli Proteus vulgaris Spirillum spp. และ Streptomyces spp. เป็นต้น


เชื้อรา (Fungi)

เป็นจุลินทรีย์ที่มีเซลล์แบบยูคารีโอต มีทั้งชนิดเซลล์เดี่ยวคือยีสต์ (Yeast) ซึ่งส่วนใหญ่สืบพันธุ์ โดยการแตกหน่อ และหลายเซลล์ซึ่งได้แก่ รา (Mold) โดยมีรูปร่างเป็นเส้นใย (Filamentous) ส่วนของเส้นใยเรียกว่า ไฮฟี (Hyphae) ถ้าไฮฟีมาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเรียกว่า ไมซีเลียม (Mycelium) เส้นใยมีทั้งแบบมีผนังกั้นและไม่มีผนังกั้น ผนังเซลล์ของเชื้อราแตกต่างจากผนังเซลล์ของแบคทีเรียขนาดและรูปร่างของเชื้อราแตกต่างกันไป บางชนิดต้องใช้กล้องส่องดู เช่าน เซลล์ยีสต์ ที่โตขึ้นมาได้แก่ พวกที่มีลักษณะเป็นเส้นใย และที่สามารถมองเป็นด้วยตาเปล่า ได้แก่ เห็ด (Mushroom) ซึ่งเกิดจากเส้นใยของเชื้อรามาอยู่รวมกันและอัดแน่นเป็นดอกเห็นขนราดใหญ่ เชื้อราเจริญได้ดีในที่ที่มีความเป็นกรดสูง อาหารเลี้ยงเชื้อราจึงปรับ pH ประมาณ 4.0 ราทุกชนิดเป็นพวกที่ต้องการอากาศส่วนใหญ่ชอบอุณหภูมิปานกลาง การสืบพันธุ์ได้ทั้งแบบมีเพศและไม่มีเพศ ต้วอย่างของเชื้อราพวกที่เป็นเซลล์เดียว เช่น ยีส Saccharomyces cerevisiae ส่วนพวกหลายเซลล์ที่เป็นเส้นใย เช่น Rhizopus spp. Aspergillus spp. Penicilliun spp. และเห็น เช่น เห็ดฟาง Volvariella volvaceae

โปรโตซัว (Protozoa)

ลักษณะเซลล์เป็นเซลล์เดียวและเป็นพวกยูคารีโอตแต่ไม่มีผนังเซลล์ เป็นจุลินทรีย์ที่มีวิวัฒนาการของเซลล์ไปมากที่สุด การแพร่พันธุ์มีทั้งแบบใช้เพศและไม่ใช้เพศ โดยแบบไม่มีเพศอาจจะเป็น Binary fission การแตกหน่อ หรือการสั้งสปอร์ เป็นต้น สามารถเคลื่อนที่ได้ในบางช่วงของวงจรชีวิต ขนาดและรูปร่างของโปรโตซัวมีความแตกต่างกันมาก เช่น รูปกลม รูปไข่ รูปแท่งหรือท่อน บางชนิดมีรูปร่างหลายแบบในช่วงการเจริญ บางชนิดเห็นได้ด้วยตาเปล่า พบได้ทั่วไปในดิน น้ำ อากาศ และในสิ่งมีชีวิต ปกติโปรโตซัวกินแบคทีเรียเป็นอาหาร ดังนั้นบริเวณที่มีแบคทีเรียมาย่อมมีโปรโตซัวมากตามไปด้วย และสำหรับโปรโตซัวที่เป็นปรสิตของสัตว์ พวกนี้จะเลี้ยงอย่างอิสระไม่ได้ต้องอยู่กับเซลล์เจ้าบ้าน (Host cell) เท่านั้น

สาหร่าย (Algae)

เป็นจุลินทรีย์ที่สังเคราะห์แสงได้ เพราะมีคลอโตฟีลล์ การสังเคราะห์แสงเหมือนพืชชั้นสูง นอกจากนี้ยังมีรงควัตถุ (Pigment) อื่นๆอีก ทำให้สาหร่ายมีสีต่างๆกันไป เช่น สีเขียว สีแดง สีน้ำตาล สีน้ำเงิน ซึ่งใช้เป็นลักษณะสำคัญในการจัดจำแนกหมวดหมู่ของสาหร่าย หรืออาจใช้ประเภทของคลอโรฟิลล์ในการจัดจำแนกก็ได้เช่นกัน ลักษณะของเซลล์เป็นพวกยูคารีโอต มีทั้งพวกที่เป็นเซลล์เดีวมีขนาดเล็กต้องส่องดูด้วยกล้อง บางชนิดมีหลายเซลล์ขนาดใหญ่อาจยาวถึง 100 ฟุต ลักษณะรูปร่างต่างกันไป เช่น รูปกลม รูปท่อน รูปเกลียว รูปแฉก รูปกระสวย บางชนิดเซลล์อาจอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเช่าน Volvox บ้างต่อกันเป็นสาย เช่น Anabacna บ้างเรียงกันเป็นแผ่น เช่น Ulva สาหร่ายพวกที่เคลื่อนที่ได้จะอาศัยแฟลกเจลลา หรือเท้าเทียม การสืบพันธุ์มีทั้งแบบมีเพศและไม่มีเพศ เนื่องจากสาหร่ายสังเคราะห์แสงได้บริเวณที่แสงส่องถึงจึงสามารถพบสาหร่ายได้ไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำ พื้นดิน และพื้นผิวที่ชื้นแม้กระทั่งหิน

ไวรัส (Virus)

ไวรัสไม่สามารถจัดเป็นเซลล์ได้ เพราะขาดโครงสร้างและองค์ประกอบของเซลล์อีกทั้งไม่สามารถอาศัยอยู่ได้อย่างอิสระได้ จำเป็นต้องอาศัยอยู่ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เพื่อดำรงชีวิตและเพื่อการเพิ่มจำนวนเรียกลักษณะนี้ว่า Obligate intracellular parasite โครงสร้างของไวรัสจะประกอบด้วยกรดนิวคลีอิกที่เป็น DNA หรือ RNA เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น และมีโปรตีนที่เรียกว่า Capsid หุ้มอยู่ นอกจากนี้อาจมีเยื่อหุ้มที่เรียกว่า Envelope ไวรัสมีขนาดเล็มากประมาณ 20-25 นาโนเมตร จนถึง 200-300 นาโนเมตร จึงไม่สามารถมองเห็นด้วยกล้องจุลทรรศน์ธรรมดา หากแต่ต้องใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน ตามธรรมชาติพบไวรัสได้ทั่วไปโดยอาศัยอยู่กับเซลล์ของสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์ หรือมนุษย์ ตลอดจนจุลินทรีย์


++โดยเป็นทั้งจุลินทรีย์ที่มีคุณประโยชน์ทั้งต่อมนุษย์และสัตว์ และก็เป็นกลุ่มที่ก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ++

🌳 แต่ส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในระบบรากใต้ดิน ( Mycorrhizae ) และก็ทำงานร่วมกับรากพืช เป็นจุลินทรีย์ดีที่สร้างสัมพันธภาพที่เกื้อหนุนกัน (symbiotic relationship) ระหว่างรากพืชและจุลินทรีย์ และสร้างความสมบูรณ์ให้กับดินและสภาพแวดล้อมโดยรวม 🌱🌏 🌳 แถมทำให้ต้นไม้พืชพรรณเจริญเติบโตงอกงาม ก็จะมีกลุ่ม 📍แบคทีเรีย (Bacteria) และ📍เชื้อรา (Fungi) เป็นหลัก


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง :

Mycorrhizae (โลกใต้ผืนดิน )


แหล่งข้อมูล :
หนังสือนิเวศวิทยาของจุลินทรีย์ ( รองศาตราจารย์ ดร.ดวงพร คันธโชติ )
OrganicMellow
Nature.com
Water.me.vccs.edu
Lakesuperiorstreams.org
Science.howstuffworks.com


ติดตามสาระ GREENTIPS ไอเดียหลากหลายที่ 〜
🌐 : greentips.net
Facebook: Bio100Percent
Line: @BIO100
IG: instagram.com/bio100plus

Tuesday 28 September 2021

10 ไม้ยืนต้นออกดอกสวย

มาสู้โลกร้อนกันด้วยการปลูกต้นไม้ในบ้านกัน

นอกจากลดการใช้พลังงานฟอสซิล หันมาใช้พลังงานสะอาด ก็คือช่วยการปลูกต้นไม้ 🌳 🌿 🌱 เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับโลกเรา 🌏... แถมบ้านเราเมืองร้อน แดดแรง ถ้าเราเลือกปลูกไม้ใหญ่ที่สามารถให้ร่มเง่กับเรา ลดความร้อนให้บ้าน ช่วยประหยัดแอร์อีกต่างหาก แถมต้นไม้ใหญ่ยังเป็นบ้านชั้นดีของพวกสัตว์ตามธรรมชาติ อย่างกระรอกกระแต และนกต่างๆ มาอาศัย ช่วยเพิ่มสีสรรป่าเล็กในบริเวณของเราอีกด้วย

ใครที่กำลังเลือกว่าจะปลูกอะไร เรามี 10 ต้นไม้มงคลมาแนะนำครับ ปลูกง่าย ความหมายดี แถมออกดอกสีสวยให้เราชื่นตาชื่นใจด้วย

ช่วงนี้ส่วนใหญ่มีฝน แต่ก็ไม่ใช้จะตกทุกวัน ยังไงถ้าก่อนปลูกต้นไม้ ทำการฝังสารอุ้มน้ำไว้ในดินข้างลำต้น ไม่ว่าจะไม้เล็กหรือไม้ใหญ่ กันไว้อุ่นใจ เมื่อฝนตกลงมา โพลีเมอร์ก็จะช่วยในการกักเก็บน้ำฝนไว้ สำรองบริเวณรากไม่ให้ไหลทิ้งทั้งหมด เผื่อไม่ว่างรดน้ำหรือช่วงฝนหมด ต้นไม้จะได้เจริญเติบโตออกดอกสวย ไม่ชะงักงันเพราะขาดน้ำ  

ใครที่กำลังเลือกว่าจะปลูกอะไร เรามี 10 ต้นไม้มงคลมาแนะนำครับ ปลูกง่าย ความหมายดี แถมออกดอกสีสวยให้เราชื่นตาชื่นใจด้วย

ต้นราชพฤกษ์ หรือต้นคูณ ( Cassia fistula ) เป็นไม้ดอกมีกลีบสีเหลืองขนาดเล็ก จัดว่าเป็นต้นไม้มงคลและศักสิทธิ์ คนไทยในสมัยโบราณยังมีความเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นราชพฤกษ์ไว้ประจำบ้านจะช่วยให้มีเกียรติมีศักดิ์ศรี เป็นสัญลักษณ์ประจำชาติไทย และยังมีความเชื่อว่า ใบของต้นราชพฤกษ์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีการนำใบไปทำน้ำพุทธมนต์

นิยมปลูกต้นราชพฤกษ์ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของที่อยู่อาศัย เพราะทิศดังกล่าวจะได้รับแดดจัดตลอดช่วงบ่าย ต้นไม้ใหญ่สามารถช่วยลดความร้อนให้บ้านและทำให้ประหยัดพลังงาน

ต้นกัลปพฤกษ์ ( Pink Shower ) เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง ความสูงประมาณ 10–15 เมตร ออกดอกเป็นช่อตามกิ่งก้านมีกลิ่นหอม สีชมพูแกมขาวดอกบาน เป็นไม้ที่มีการแตกกิ่งก้าน สาขากว้างใหญ่ ควรปลูกให้ห่างบริเวณบ้านพอสมควร

ต้นเหลืองปรีดียาธร ( Silver Trumpet ) เป็นไม้ยืนต้น ใบเป็นใบประกอบแบบนิ้วมือที่มี 5 ใบย่อย เรียงตัวแบบตรงข้ามสลับตั้งฉาก มีช่อดอกแบบช่อกระจุก เชื่อมติดกันเป็นรูประฆังสีเหลือง ปลายกลีบแยกเป็นรูปปากเปิด ดูเหมือน ทรัมเป็ต เครื่องดนตรีสากลในกลุ่มเครื่องลมทองเหลือง ประเภทเสียงสูง ซึ่งคงเป็นที่มาของชื่อในภาษาอังกฤษ

ต้นหางนกยูงฝรั่ง ( Royal Poinciana ) หรือที่เรียกว่า ชมพอหลวง, ส้มพอหลวง ( ดอกเป็นช่อออกที่ปลายกิ่ง มีกลีบห้ากลีบ สีแดงจัดจนถึงสีส้ม เป็นพืชตระกูลถั่ว โดยฝักเป็นลักษณะฝักถั่วแบนยาว เมื่อแก่จะเป็นฝักแห้งแข็งสีดำ

ต้นหางนกยูง ขึ้นได้ดีในดินทั่วไป และออกดอกเป็นช่อ ในช่วงช่วงอากาศร้อนและแห้งแล้ง ปีใดอากาศร้อนและแห้งแล้งมากจะยิ่งออกมาก ดอกดกและทิ้งใบทั้งต้น เหลือแต่ดอกบานสะพรั่ง

ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ ( Pink Trumpet ]เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ ขนาดกลางถึงใหญ่ เรือนยอดรูปไข่หรือทรงกลม แผ่กว้างเป็นชั้น ๆ มีดอกสีชมพูอ่อน ชมพูสดถึงสีขาว กลางดอกสีเหลือง ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง มีดอกย่อยจำนวนมาก ติดกันเป็นหลอดปลายแยกเป็น 5 แฉก คล้ายรูปแตร นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ เนื่องจากมีสีดอกที่สวยงาม กลีบดอกบาง ย่นเป็นจีบๆ ออกดอกพร้อมกันสวยสะพรั่งบนต้น ดอกร่วงหล่นง่าย โดยหล่นกระจายอยู่รอบๆ ต้น งดงามพอๆ กับที่บานอยู่บนต้น

แก้วเจ้าจอม ( Lignum Vitage ) เป็นพันธุ์ไม้ประจำถิ่นแคริบเบียน นำเข้ามาปลูกในไทยโดยในหลวงรัชกาลที่ 5 ครั้งเสด็จประพาสชวา เป็นต้นไม้ขนาดเล็กถึงกลาง เป็นไม้ผลัดใบ ลำต้นคดงอ กิ่งก้านเป็นปุ่มเป็นปม ลักษณะทรงพุ่ม แตกใบพุ่มแผ่ออกเป็นวงกว้าง ออกดอกเป็นสีอมม่วงหรือฟ้าครามชวนน่ามอง เป็นพันธุ์ไม้ประดับบ้านที่มีสวยงามมากชนิดหนึ่ง

ปัจจุบันมีเพียงต้นเดียวเท่านั้นที่เป็นต้นดั้งเดิม ตั้งแต่ตอนนำเข้ามา ปลูกอยู่บริเวณด้านหลังเนินพระนางหรือพระบรมราชานุสรณ์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์พระบรมราชเทวี และมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทานำดอกแก้วเจ้าจอมมาใช้เป็นสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยด้วย

ต้นทองกวาว หรือ ทองธรรมชาติ ทองพรหมชาติ ทองต้น ( Bastard Teak ) มีถิ่นกำเนิดในเอเชียใต้ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง 5–15 เมตร อยูในวงศ์ถั่วเช่นเดียวกัน ออกเป็นช่อแบบไม่แตกแขนง ตามกิ่งก้านและปลายกิ่ง ขนาดไม่เท่ากันคล้ายดอกถั่ว กลีบด้านล่างรูปเรือแยกเป็นอิสระดอกบานเต็มที่กว้างประมาณ 6 ซม. ดอกมีทั้งสีแสดและสีเหลืองสด คนไทยโบราณจัดเป็นม้มงคล เชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นทองกวาวไว้ประจำบ้านจะทำให้มีเงินมีทองมาก นอกจากนี้ดอกยังมีความสวยเรืองรองดั่งทองธรรมชาติ

สารภี ( Mammea Siamensis )เป็นไม้ดอกยืนต้นประจำถิ่น พบได้ในป่าเบญจพรรณ ป่าดงดิบ พบในประเทศไทย ลาว เวียดนามและกัมพูชา เป็นไม้ยืนต้นสูง 10 – 15 เมตร ไม่ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มทึบ ชอบสภาพดินร่วนซุย ความชื้นพอเหมาะ มีดอกสีขาวอมเหลือง ออกดอกเป็นกระจุกตามกิ่ง สีขาว กลิ่นหอม ร่วงง่าย มีเกสรเพศผู้สีเหลือง ผลรูปกระสวย ยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร มีผลรูปกระสวย ยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร เมื่อสุกสีเหลือง มีเนื้อสีเหลืองหรือสีแสดหุ้มเมล็ด รับประทานได้

ต้นโมก หรือ ต้นพุทธรักษา ( Moke ) ไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นมีความสูงประมาณ 5-12 เมตร ออกดอกเป็นช่อสั้น ๆ อยู่ตามปลายกิ่ง ช่อหนึ่งมีดอก 4-8 ดอก ลักษณะดอกจะคว่ำหน้าลงสู่พื้นดินมีกลีบดอก 5 กลีบ มีสีขาวกลิ่นหอม ดอกบานเต็มที่มีขนาดประมาณ 2 เซนติเมตร มีกลิ่นหอมสดชื่น

คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นโมกไว้ประจำบ้านจะทำให้เกิดความสุขความบริสุทธิ์เพราะโมกหรือโมกขหมายถึงผู้ที่หลุดพ้นด้วยทุกข์ทั้งปวง นอกจากนี้ยังช่วยคุ้มครองปกป้องภัยอันตรายเพราะต้นโมกบางคนเรียกว่าต้นพุทธรักษาดังนั้นเชื่อว่าต้นโมกสามารถคุ้มกันรักษาความปลอดภัยทั้งปวงจากภายนอกได้เช่นกัน เป็นพรรณไม้ที่ปลูกง่าย ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรคและศัตรู ทนทานต่อสภาพธรรมชาติพอสมควร

ต้นลำดวน ( White cheesewood or Devil tree, Lamdman ) มีชื่อตามภาษาท้องถิ่นว่า หอมนวล เป็นไม้ต้นขนาดกลาง สูง 5 - 20 เมตร ไม่ผลัดใบ เรือนยอดรูปกรวย หนาทึบ พบได้ตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้งทางภาคตะวันออก และภาคกลาง เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุย ชอบความชื้นสูง และชอบขึ้นในที่โล่งและมีแสงแดด

ดอกมีสีนวลกลิ่นหอม ออกเดี่ยวตามซอกใบที่ปลายกิ่ง กลีบดอกหนาและแข็ง กลีบดอก ชั้นนอก 3 กลีบแผ่ออก ชั้นใน 3 กลีบ หุบเข้าหากัน มีกลิ่นหอมของดอกลำดวนที่ฟุ้งขจรไปทั่ว ดอกสามารถนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย


แหล่งข้อมูล

วิกิพีเดีย


ติดตามสาระ GREENTIPS ไอเดียหลากหลายที่ 〜
🌐 : greentips.net
Facebook: Bio100Percent
Line: @BIO100
IG: instagram.com/bio100plus

Sunday 26 September 2021

โลกเหลือเวลาอีกไม่มาก

 

มุมน้ำเงิน (สหรัฐอเมริกา)

We Don’t Have Much More Than 10 Years

US President . Joe Biden

สถาณการณ์โลกร้อนตอนนี้มาถึงจุดวิกฤติ เรามีเวลาอีกอย่างมากไม่เกิน 10ปี ประธานาธิบดีสหรัฐ โจ ไบเด็นให้สัมภาษณ์เมื่อไม่กี่วันที่ผ้านมา เขากล่าวระหว่างเข้าเยี่ยม California's Office of Emergency Services

เขาย้ำว่าปัญหาโลกร้อน ความแห้งแล้ง และไฟป่าที่เกิดบ่อยและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆในสหรัฐ ทำอันตรายต่อทั้งชีวิตทรัพย์สิน และสร้างเสียหายมหาศาลประเมินค่าไม่ได้ ทางเศรฐกิจ ล้วนเกิดจากปัญหาสะสมที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข และเขายืนยันเจตนารมณ์ตามที่เขาเคยให้ไว้ตอนเข้ารับตำแหน่ง ว่าจะสนับสนุนการแก้ปัญหาเรื่องนี้จริงจัง ล่าสุดเขาเตรียมเสนอขออนุมัติเงินช่วยเหลือจากรัฐสภา (ซึ่งก็คงไม่ได้จะทำได้โดยง่าย เพราะมีผู้เห็นต่างมากพอสมควร) ในวงเงินมูลกว่าสูงกว่า $11.4 billion เพื่อนำไปช่วยประเทศกำลังพัฒนา ให้สามารถเข้าร่วมและบรรลุมาตราการลดโลกร้อนด้วยเช่นกัน และจะเป็นผู้นำเร่งรัดให้พวกประเทศที่รำ่รวยกว่าร่วมสนับสนุนเงินให้ครบ 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามสัญญาที่ให้ไว้ใน Paris Agreement ที่ตั้งเป้าหมายร่วมกันไม่ปล่อยก๊าชเรือนกระจกไปมากกว่าที่สามารถกำจัดได้ NET ZERO ในปี 2050 เพื่อควบคุมอุณหภูมิให้สูงขึ้น 1.5 ถึง 2 องศาเซลเซียส

มุมแดง (สาธารณรัฐประชาชนจีน)

China will step up support for other developing countries in developing green and low-carbon energy, and will not build new coal-fired power projects abroad,

Chinese President Xi Jinping

ถัดมาเพียง 1 วัน Chinese President Xi Jinping's ออกมาให้สัภาษณ์ว่า จีนจะหยุดสร้างโครงการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ต้องพึ่งพาถ่านหิน ส่วนโรงงานที่มีมาก่อนหน้า จีน (เป็นผู้ใช้พลังงานถ่านหิน ขับเคลื่อนหลัก) ก็จะค่อยลดลงการพึ่งพิงถ่านหิน และหันมาทุ่มเทการวิจัยและใช้พลังงานทางเลือกทดแทน อย่างโครงการหลายแห่งในอินโดนีเซีย และบังคลาเทศ ก็คงต้องยกเลิกไป เพราะทรัพยากรในนั้น มีถ่านหินเป็นหลัก

เจ้าหน้าที่ระดับสูงจีน ให้ข้อมูลว่าปัจจุบันประเทศจีนมีอุตสาหกรรมเพียง 20% และส่วนใหญ่อยู่นอกประเทศจีน ที่ใช้พลังจากถ่านหินเป็นหลัก ซึ่งการที่ทางประธานาธิบดี Xi ให้นโยบายหยุดสร้างเพิ่ม โดยยอมให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจถูกกระทบ อันเป็นการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นของจีน โดยเขามองว่าจีนจะไปถึงจุดพีค (Peak) ของสร้างก๊าซเรือนกระจกในปี 2030 แล้วจะค่อยๆลดต่ำลง

แต่จีนก็ยังเป็นจีน ไม่ยอมเล่นตามเกมส์ทางตะวันตกเสียทีเดียว โดยทางจีนยืนยันว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมายได้สำเร็จแน่นอน อย่างที่จีนรับรอง จนถึงจุดศูนย์ NET ZERO ภายในปี 2060 (หรือ สิบ(10)ปีให้หลังจากที่ UN กำหนด .

การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDC)

ปี2015 หรือ 5 ปีก่อนสหประชาชาติมีมติร่วมกับนนาชาติเพื่อควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส โดยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 45%ภายในปี 2030 ซึ่งก็จะทำให้โลกของเราถึงจุดสมดุลที่และมีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นสุทธิ เป็นศูนย์ (0) หรือ Net Zero ภายในปี 2050 โดยพลเมืองโลกต่างหันมาใช้พลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโลก และสภาวะโลกร้อนที่พวกเราประสบพบเจอตลอดหลายปีจะค่อยๆบรรเทาและก็คลี่คลายลง

มิถุนายน 2021 ในที่ประชุมที่ Brussel เลขายูเอ็นนาย อันโตนิโอ กูเทียเร ออกมาให้ข้อมูลว่าอุณหภูมิโลกมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอีก 3 องศาเซลเซียส แทนที่จะเป็น 1.5 ถึง 2 องศาเซลเซียส ตามเป้าที่ตั้งไว้ในข้อตกลงปารีส โดยย้ำว่าเวลาของเราก็ใกล้จะหมดลงแล้ว ที่จะสามารถทำอะไรเพื่อกอบกู้สถานการณ์

ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา (กันยายน 2021) จากรายงานล่าสุดจากที่ UN General Assembly พบว่ายังมีประเทศอีก 30% ที่ไม่ยอมแม้กระทั่งส่งเป้าหมาย NDC (National Determined Contributions) หรือ'การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด' ในการทำให้โลกเรามีก๊าซเรือนกระจกสุทธิเพิ่มเป็นศูนย์(0) ในปี 2050 ซึ่งตัวเลขการมีส่วนร่วมนี้สำคัญมาก เพราะเราจะได้มีมาตรวัดเพื่อเปรียบเทียบความพยายามของแต่ละประเทศ และผลลัพธ์ความสำเร็จ หรือปัญหาที่พวกเราต้องช่วยเข้าไปดูหรือช่วยเหลือ อย่างเช่นจีน และอินเดีย ประเทศผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่อันดับ 1 และอันดับ 3 ของโลก ที่ดูยังมีปัญหา โดยมีปัจจัยของความต้องการพลังงานเพื่อขับเคลื่อนเศรฐกิจ ซึ่งส่วนใหญ่เลยใช้ในรูปของ coal พลังถ่านหิน

เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ (NDC)

ในวาระที่โลกเรากำลังจะจัดประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศของยูเอ็น COP26 ในพฤศจิกายนที่กำลังจะมาถึง UN ได้ทำบทวิเคราะห์ข้อมูลจากตัวเลขของ 191 ประเทศ ที่ส่งการบ้าน NDCหรือ 'เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ' เข้ามา NDC (National Determined Contributions) หรือ'การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด' ที่แต่ละประเทศ/รัฐที่ลงนามรับรอง และสรุปภาพเบื้องต้นให้ดูเพื่อเปรียบเทียบความคาดหวังความจริง เห็นได้ค่อนข้างชัดเจนว่า ปริมาณการปล่อยก๊าซที่ประเมินว่าจะต้องลดให้ได้ 45%ในปี 2030 กลับเพิ่มขึ้นถึง16% เมื่อนำมาเทียบกับปี 2010

เราสามารถเห็นได้ชัดเจนจากช่องว่างของเส้นกราฟที่วิ่งห่างออกจากกัน และยังพุ่งสูงชัน ห่างไกลจากเป้าหมายยาวไปถึงปี 2060

ถ้ามาดูคะแนน NDC รายประเทศ ส่วนใหญ่ก็เป็นไปตามคาด อย่างไทยแลนด์แดนสยามของเรา เรื่องนี้เราก็รับ F (Critically Insufficient) ตกชั้นไปตามฟอร์ม แต่มีเซอร์ไพรส์อย่าง ที่มีสิงคโปร์สอบตกเป็นเพื่อนด้วย + + + + + โดยมีประเทศจีน อินเดีย ตัวกลั่นแห่งวงการสร้างก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งประเทศอย่าง Australia, New Zealand, Canada, South America, UAE และ เกาหลี เวียดนาม อินโดนีเซีย ทำดีกว่าเล็กน้อย ได้เกรด D (Highly Insufficient) กันไป + + + + + แต่ประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป เยอรมันนี และญี่ปุ่น ก็ล้วนแต่อยู่ในข่ายทำได้ไม่ดีนัก พอผ่านไปรับเกรด C (Insufficient) ได้แค่นั้น


หมายเหตุ

วาระสำคัญ COP26 - UN Climate Change Conference) การประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศชองยูเอ็นครั้งที่ 26 ที่จะมีขึ้นในเดือนพศจิกายนนี้ ได้แก่

  • หยุดใช้พลังงานถ่านหิน
  • หยุดตัดไม้ทำลายป่า
  • เปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า
  • ลงทุนในการผลิตพลังงานหมุนเวียน

โดยมีประเด็นสำคัญอีกเรื่องคือ การติดตามให้ประเทศที่ร่ำรวยให้สนับสนุนเงินแสนล้านดอลล่าห์สหรัฐ (USD 100,000,000.-) เพื่อช่วยประเทศกำลังพัฒนาสามารถปรับตัวเพื่อมีส่วนร่วม และร่วมกันบรรลุเป้าหมาย NET ZERO ร่วมกัน

แล้วเรามาติดตามกันครับว่า ผลลัพธ์ของการประชุมจะเป็นอย่างไร ?

แหล่งข้อมูล

NewYorkTimes
GlobalTimes
S&P Global Intelligence
BBC news
UN Climate Change


ติดตามสาระ GREENTIPS ไอเดียหลากหลายที่ 〜
🌐 : greentips.net
Facebook: Bio100Percent
Line: @BIO100
IG: instagram.com/bio100plus

Friday 24 September 2021

native trails - innovative packaging


📍สินค้าน่าทึ่งรักษ์โลก 💚 🌏 แบบแท้ทรู ใช้เป็นจานหรือภาชนะใส่ของ น้ำหนักเบา ย่อยสลายได้ 100% ตัวจานอัดมาจากใบเซียลี (Siali) อบแห้ง ใบไม้สีเขียวหนามีเส้นใยแข็งแรง จากต้นเซียลี ไม้พุ่มที่พบในป่าแถบ Odisha รัฐทางแถบตะวันออกของอินเดีย ...

แพ็กกิ้งใช้กระดาษแข็ง 4 แผ่นสอดไขว้กันและผูกด้วยเชือก ที่ทั้งหมดทำมาจากลำต้นของมัน ออกแบบให้เป็นทั้งตัวล็อคและเป็นมือจับในตัว ... ผลลัพธ์เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ดูงดงามแบบดิบ แต่ดูเรียบหรูเก๋ ดีไซน์ทันสมัยเข้ายุดสมัย ... ไม่รู้ทำออกจำหน่ายหรือยัง ?
 

ℹ️ ถ้าอยากรู้ ลองติดต่อกับ Designer เขาเอง ทาง website ด้านล่างครับ .. ขออนุญาติแชร์เพื่อเป็น Be Inspired ครับ 😇

📍https://submit.packagingoftheworld.com/contact/

Wednesday 22 September 2021

แฟชั่นทำร้ายโลกหรือเปล่า ?

งดรับถุงหรือเลิกแต่งตัว (อะไรช่วยโลกได้มากกว่า)

บรรจุภัณฑ์พลาสติก

ปัจจุบัน การตะหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมคงเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วกัน และพวกเราส่วนมากก็คงมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิต ไม่มากก็น้อย เลือกบริโภคแบรนด์สินค้าและสนับสนุนกิจการของแบรนด์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และแน่นอนการ เลือกบรรจุภัณฑ์รีไซเคิล ก็ดูเหมือนเป็นตัวเลือกต้นๆ ที่พวกเราถือปฎิบัติกัน ในเชิงการตลาด สินค้าแบรนด์เล็กแบรนด์ใหญ่ต่างรู้แนว หันมารับลูก อย่างร้านสะดวกซื้อเชนยักษ์ 7-11 ก็งดแจกถุงพลาสติก ให้กับลูกค้าที่แวะเพื่อซื้อสินค้า"สะดวกซื้อ" สะดวกรับประทานกัน แต่ตอนนี้(อาจ)ไม่ได้สะดวกถือ ทำเอาลูกค้าต้องลำบากขึ้น หอบของกินหลายไซส์พะรุงพะรัง (คือมันไม่เหมือนไปช๊อปปิ้ง ที่เราไปห้างๆ และก็เตรียมตัวนำถุงผ้าไปซือของจริงจัง

ร้านกาแฟรุ่นใหญ่ Starbucks / true coffee ก็สนับสนุนให้ลูกค้านำแก้วกาแฟมาจากบ้าน มีส่งเสริมการขาย สร้างแรงจูงใจด้วยการลดราคา เทรนด์นี้ทั้งร้านเล็กใหญ่ ก็ตามกันมา … Amazon Coffee ของ ปตท ก็เอากับเขา แถมไปต่ออีกด้วยการเปลี่ยนมาใช้ eco-cup ย่อยสลายได้ หรือ พี่สตาร์บัคส์ไม่อาจน้อยหน้าด้วยการเลิกใช้หลอดพลาสติก แต่หันมาให้หลอดกระดาษแทน ว่ากันตามจริง ก็ไม่ค่อยเหมาะกับการดูดเครื่องดื่มเย็นสักเท่าไหร่ เพราะกระดาษจะยุ่ยและก็ทำให้เครื่องดื่มมีกลิ่นรสแปลกไป

จากสายรีเทลมาโรงพยาบาลทั้งรัฐทั้งเอกชน ต่างงดถุงพลาสติกหรือไม่ก็แจกถุงผ้าถุงกระดาษ เอาตามจริง พอไปหาหมอบ่อยเข้า ก็รู้สึกว่าไม่ช่วยเท่าไหร่ เราเริ่มมีถุง(ใช้ซ้ำได้)มากขึ้น แต่ก็ไม่รู้จะไปทำอะไร คือถุงพลาสติกกร็อบแกร็บยังเอาใส่ขยะในครัวได้ ไม่ก็ไว้ซ้อนถังผงในบ้าน แต่ถุงกระดาษนี่ทำได้แต่ซ้อนไว้ชั่งกิโลขาย แถมมีความรู้สึกว่า ถุงกระดาษใบหนึ่งผลิตขึ้นมาก็น่าจะมี carbon footprint ไม่น้อย

สินค้าแฟชั่น (เสื้อผ้า - ธุรกิจสิ่งทอ)

เสื้อผ้าแฟชั่นก็ตามมา ล่าสุด Uniqlo เตรียมงดให้ถุงพลาสติกสีขาวใบเขื่อง และยังทำโครงการ เช่นตั้งกล่องรับบริจาคเสื้อเก่า นำไปคัดแยกเป็นหมวดหมู่ที่ตรงความต้องการของผู้รับ เพื่อให้นำไปใช้ได้จริง หรือการพัฒนากระบวนการผลิตให้ลดภาระต่อสิ่งแวดล้อม เช่นการฟอกยีนส์ด้วยวิธีโอโซน หรือการแต่งผิวด้วยเลเซอร์

Fashion Items ราคาถูงลง (ทุกคนเข้าถึงได้) น่าจะเป็นเรื่องดี

ความตั้งใจที่ดี กับความพยายามริเริ่มเป็นเรื่องที่ดี ต่างคนต่างทำเท่าที่ทำได้ สิ่งแวดล้อมของเราก็น่าจะค่อยๆดีขึ้น แต่ปัญหาของเรามันก็ใหญ่เสียเหลือเกิน คือมันหนักหนาสะสม แบบที่ว่าเราต้องลดการปล่อยก๊าซ CO2 ให้ได้ 2.6หมื่นตันทุกๆ 2 ปี ต่อเนื่องไปอีกหนึ่ง(1) ทศวรรษ ถึงจะส่งผลอย่างมีนัยยะ ให้ภาวะโลกร้อนดีขึ้น

ไม่น่าเชื่อว่า สินค้าแฟชั่นเป็นปฎิปักษ์ต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก มีการประเมินกันว่า อุตสาหกรรมนี้เพียงตัวเดียว ปล่อยก๊าซเรือนกระจกคิดเป็นกว่า 10% ของ CO2 ทั้งหมดที่มนุษย์เราทำให้เกิดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น น้ำถูกใช้ในกระบวนการผลิตเป็นปริมาณมหาศาล รู้หรือไม่ว่าเราต้องใช้น้ำถึง 2700 ลิตรเพื่อผลิดเสื้อคอตต้อน 1 ตัว (ปกติมนุษย์เราดื่มน้ำเฉลี่ยวันละ 8 แก้ว แปลว่าการผลิตเสื้อตัวเดียว ต้องใช้น้ำมากขนาดที่คนหนึ่งคนไป 3.5 ปีเลย) ว่ากันที่จริง มีการประเมินว่าอุตสาหกรรมสิ่งทอใช้น้ำมากเป็นที่ 2 เมื่อเทียบกับการใช้น้ำเพื่ออุปโภคบริโภคทั้งหมดของมนุษย์ชาติ

ยังไม่นับถึงสารเคมีมากชนิดที่ใช้ในการผลิต กระบวนการส่วนใหญ่ก็ใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ต้นเหตุของการปล่อยสาร CO2 แถมด้วยNO NO2 SO2และออกไซด์อื่นๆ ที่เกิดขึ้นมาในขั้นตอนอื่นๆอีก ไม่ว่าจะเป็นการทอฟอกย้อม สุดท้ายปลายทาง โรงงานก็ปล่อยทิ้งน้ำเสียจำนวนมาก ส่วนใหญ่ก็มีโลหะหนักเจือปนตกต้าง อาทิปรอท ตะกั่ว สารหนู แต่ที่หนักหนาสาหัสกัน เพราะสินค้าแฟชั่นเหล่านี้ ส่วนใหญ่ผู้ผลิตในประเทศที่มีค่าแรงตำ่อย่าง จีน อินเดีย บังคลาเทศ ที่การควบคุมโดยหน่วยงานรัฐไม่เข้มงวด ทำให้น้ำเสียถูกปล่อยทิ้งไปโดยไม่ผ่านการบำบัดน้ำเสียที่ถูกหลักวิชาการ และเหมาะสม เพื่อช่วยลดค่าของเสียให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ก่อนปล่อยออกแม่น้ำ คูคลองสาธารณะ ทำให้ในที่สุดน้ำเสียจำนวนมากก็ถูกทิ้งออกสู่ทะเลและมหาสมุทร

จนมีคำกล่าวว่าอุตสาหกรรมแฟชั่น เป็นหนึ่งในธุรกิจที่สร้างมลภาวะมากที่สุดของโลก

เทรนด์ล่าสุดของโลกแฟชั่น อย่างการที่เราหันมาใส่เสื้อผ้า fast & casual ใช้เสื้อผ้าเรียบง่าย ราคาไม่แพง ดันให้การบริโภคเสื้อผ้าใหม่ กระโดดขึ้นเป็นเท่าตัว แทบจะทุกปี ตั้งแต่ปี 2000 อุปสงค์ที่ถูกเร้าจากราคาถูก สไตล์เรียบง่าย (ร่วมส่งเสริมกันถ้วนหน้าโดยวงการแฟชั่นที่ต่างออกคอลเล็คชั่นเนื้อผ้าหรือสไตล์ใหม่เพิ่มขึ้น จากเดิมปีละ 2 ชุด เป็น 5 ชุดโดยเฉลี่ย) ทำให้เราซื้อเสื้อผ้าเพิ่มกันถึง 60% ต่อคนต่อปี ประเมินกันว่าพวกเราชาวโลก 8พันล้าน (8,000,000,000) คน ใช้เสื้อผ้าใหม่กันมากถึงปีละ 8หมื่นล้าน (80,000,000,000) ตัวกันทีเดียว

The waters of the River Ganges (Image: .iberdrola.com)

และเสื้อผ้าแนวใหม่ราคาย่อมเยานี้ ส่วนใหญ่ใช้วัตถุดิบจากเส้นใยสังเคราะห์จากกระบวนการปลายน้ำของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ไม่ว่าจะเป็นไนล่อน โพลีเยสเตอร์ หรือเส้นใยชื่ออ่านยากอีกหลายตัว ซึ่งที่เราอาจนึกไม่ถึง ก็คือการซักผ้า ยิ่งเรามีเสื้อผ้าใช้เยอะ (ใส่หลายตัว หลายชิ้น หรือเปลี่ยนบ่อยๆ ตามแต่กิจกรรมของแต่ละช่วงวัน) พอเรานำไปซัก น้ำซักผ้าจะชะล้างคราบสกปรกและปล่อยไมโครพลาสติก (microfibers) ออกมาจำนวนหนึ่ง อย่างเสื้อใยสังเคราะห์หนึ่งชุดจะปล่อย microfiber 1.7 gram ออกมากับน้ำที่ซักล้าง และประมาณ 40%ของพลาสติกพวกนี้ สุดท้ายก็ไหลลงคลองสาธารณะและปลายทางที่มหาสมุทร ถูกกินโดยสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กจิ๋ว ถูกกินโดยปลาเล็ก และก็ปลาใหญ่ เป็นทอดๆกันไป จนเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร ของพวกเราชาวมนุษย์ในที่สุด มีการคำนวณว่าน้ำซักผ้าทั้งหมดในโลก เป็นตัวการปล่อยไมโครพลาสติกออกสู่มหาสมุทรรวมกันต่อปี ในปริมาณมากถึง 500,000ตัน หรือเทียบเท่ากับ ขวดพลาสติก 5หมื่นล้าน (50,000,000,000) ใบทีเดียว แน่นอน การมีเสื้อผ้าให้เลือกใส่มากขึ้น ทำให้เราเปลี่ยนคอลเล็คชั่นส่วนตัวบ่อยขึ้น เสื้อผ้่ที่เราไม่ได้ใช้ หรือใช้ไม่หมด เราก็ต้องนำมันทิ้งไป ซึ่งในแต่ละวัน จะมีเสื้อผ้าถูกนำไปทิ้งในปริมาณเท่ากับ1 คันรถดัมพ์ต่อวินาทีกันเลย

หลายปีมานี้ ปัญหานี้ มีการหยิบยกมา และวงการเสื้อผ้า(อุตสาหกรรมแฟชั่น)ก็ตื่นตัว พยายามปรับตัว และริเริ่มกันตั้งแต่ปี 2019

  1. มีการประชุมร่วมกัน และรวมกลุ่มกันทำข้อตกลง ที่จะลดการปล่อยก๊าซ ปรับปรุงกระบวนการตั้งแต่วัตถุดิบ ระบบการผลิตไปจนถึงโลจิสติกส์ เป้าหมายคือลดการปล่อยก็าซให้ได้ 30% ภายในปี 2030 มีการ(กำหนดเป้าหมายระหว่างอุตสาหกรรม)
  2. ร่วมกันใช้พลังงานสะอาด ทดแทนการใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิล ที่สร้างมลภาวะมากกว่า
  3. สร้างนวัตกรรมใหม่เพื่อหาวัตถุดิบที่ดีต่อโลกมากขึ้น ลดการใช้เส้นใยทอขึ้นใหม่ (virgin material) หรือวัตถุดิบสังเคราะห์จากปิโตรเคมี รวมถึงหาทางนำวัตถุรีไซเคิลมาใช้เป็นตัวเลือกให้มากขึ้น
  4. ร่วมมือกับผู้ให้บริการขนส่ง ชิปปิ้ง ซึ่งธุรกิจสิ่งทอเป็นผู้ใช้บริการรายใหญ่อันดับต้นๆ ผลักดันให้วงการสายเรือ ปรับปรุงเครื่องจักรอุปกรณ์เพื่อลดการปล่อยก๊าซในการเดินเรือทะเล

น่าเสียดาย ผ่านไป 2 ปี ตั้งแต่กำหนดเป้าหมายร่วมกัน องค์กร Stand.Earth เพิ่งประกาศ Fossil-Free Fashion Scorecard หลังประเมิน 47 แบรนด์เสื้อผ้าระดับโลก พบว่าความพยายามทำตามข้อตกลง ค่อนข้างล้มเหลว …. กว่าสามในสี่หรือ 75% ของผู้ร่วมประชุมได้รับคะแนน เกรด F คือสอบตกไม่เป็นท่า … ลองดูตัวอย่างแบรนด์ใหญ่ที่เราคุ้นเคยกัน

NIKE ที่ได้เกรด C+) เขาทำงานกับโรงงานให้เปลี่ยนแหล่งจ่ายพลังงานให้ความร้อน พยายามลดการใช้ เชื้อเพลิงถ่านหินมากใช้พลังสะอาดให้มากขึ้น หรืออย่างการมีเป้าหมายชัดเจน พร้อมแผนปฎิบัติการให้ทั้งฝ่ายผลิตและขนส่ง โดยลงมือทำงานกับโรงงานหลายแห่ง จับเชื่อมต่อกับ ผู้จำหน่าย พลังงานสะอาด ทั้ง US / EU

LEVI's มีการตั้งเป้าหมาย ทำแผนชัดเจน ลงไปถึงระดับโรงงานผลิตเช่นกัน พร้อมมีเงื่อนไขการให้แรงจูงใจ และแผนการช่วยเหลือด้านการเงิน แต่ยังไม่มีความชัดเจนในแผนปรับปรุงเรื่องขนส่ง ทางลีวายส์ก็เลยได้เพียง เกรด C

ยังนับว่าสอบผ่าน ไม่ถึงกับต้องซ้ำชั้น แต่ก็ยังไม่อาจนับว่าทำได้ดี เพราะได้แค่ C/C+

เราในฐานะผู้บริโภค เริ่มที่ตัวเรา ขอเพียงเริ่มต้น ไม่ต้องรอใคร

  • ลดการซื้อเสื้อผ้าใหม่ ใช้ของเดิมที่อยู่ล้นตู้ให้นานขึ้น
  • ซื้อเสื้อผ้ามีคุณภาพ เน้นความคงทน ใช้งานได้นาน
  • สนับสนุนแบรนด์ที่มีนโยบายใส่ใจสิ่งแวดล้อม
  • ใช้เสื้อผ้าซ้ำ อย่างเสื้อคลุมภายนอก อย่างสูท แจ็กแก็ต ก่อนนำไปซัก
  • คิดเยอะๆก่อนทิ้งเสื้อผ้าเก่า เช่น ซ่อม ดัดแปลง บริจาค ขายต่อให้ร้านมือสอง
  • ซื้อจากร้านมือสอง แลกกัน หรือ เช่า **

หมายเหตุ:

** ธุรกิจหลายอย่างจากความพยายามจากกลุ่มคนที่เห็นปัญหาและหาทางออก ที่เป็นทางเลือกช่วยจัดการกับเสื้อผ้าใช้แล้ว แต่ยังมีคุณค่า หลายกิจการมีแผนธุรกิจชัดเจน และมีโอกาสทางการตลาดและมี เช่น RentTheRunWay ที่นำเสื้อผ้าใส่ออกงานมาให้เช่าใช้ หรือ VINTED ที่อังกฤษ และ TokyoCheapo


ที่มาของข้อมูล

Internation Labour Organization
Greenofchange.com
IBERDROLA
SustainYourStyle.org
Stand.Earth
FastCompany
EcoTextile.com
GreenQueen


ติดตาม GreenTips ได้ทุกช่องทาง
🌐 : greentips.net
Facebook: Bio100Percent
Line: @BIO100
IG: instagram.com/bio100plus

Friday 17 September 2021

น้ำรีไซเคิลรดต้นไม้แล้วจะเป็นไรไหม?

 ข้อมูลจากกระทรวงพลังงาน ระบุว่า คนในกรุงเทพและปริมณฑลใช้น้ำเฉลี่ยวันละ 200 ลิตรเพื่อการอุปโภค บริโภคในครัวเรือน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) คาดการณ์ว่าความต้องการน้ำในครัวเรือนจะอยู่ที่ 723,000 ล้านลิตรในปี 2568 จากปัจจัยความต้องการน้ำในอนาคต ประกอบด้วย จำนวนประชากร ขนาดครัวเรือน รายได้ครัวเรือน ราคาค่าน้ำ และปริมาณน้ำฝน

แหล่งน้ำธรรมชาติมีจำกัด

ความต้องการน้ำแปลผกพันกับความอุดมสมบูรณ์ ทั้งคนและต้นไม้ต่างต้องการน้ำในการดำรงชีวิต เพื่อที่จะประหยัดค่าใช้จ่ายและใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด หลาย ๆ คนจึงเกิดคำถามว่าเราสามารถนำน้ำที่เราใช้แล้ว มารีไซเคิลเพื่อรดต้นไม้ได้หรือไม่ มีกระทู้มากมายแชร์ถึงประโยชน์ของการนำน้ำซักผ้ามารดต้นไม้ ทำให้ต้นเหล่านั้นเติบโตได้ไว ป้องกันแมลง

ในบทความนี้ เราได้รวบรวมข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะนำน้ำที่เราอุปโภค บริโภคเหลือ มาใช้ซ้ำกับการรดต้นไม้ ทำให้เราประหยัดน้ำ ลดการที่ระบบส่วนกลาง (ของอาคาร ของจังหวัด) ต้องนำน้ำไปบำบัด และยังเป็นการช่วยธรรมชาติอีกทางหนึ่ง

Grey Water น้ำใช้แล้วจากครัวเรือน

ใช้น้ำเหลือจากครัวเรือน

น้ำสุดท้ายที่เหลือจากการซักผ้า อาบน้ำ หรือ ล้างจานนำมารดต้นไม้ได้ ทั้งนี้ไม่รวมน้ำจากโถชำระและท่อระบายจากการประกอบอาหาร ที่อาจประกอบด้วยเชื้อโรค แบคทีเรียที่ยากต่อการกำจัด

ข้อดี

  • ประหยัดค่าน้ำ ประหยัดการใช้น้ำในครัวเรือน
  • ลดมลภาวะจากการจำกัดและบำบัดน้ำ
  • ผลิตภัณฑ์ซักล้างที่เจือจางมีส่วนผสมของฟอสฟอรัสและไนโตรเจน ซึ่งเป็นช่วยในการสังเคราะห์แสงและสร้างพลังงานให้กับพืช

ข้อควรระวัง

  • ไม่ควรใช้ Grey water กับพืช ผักที่รับประทานสด เพื่อหลีกเลี่ยงสารเจือปนที่อาจเป็นพาหะของโรค
  • บริหารสัดส่วนระหว่างน้ำรีไซเคิล กับ น้ำธรรมชาติอย่างสมดุล หากมีการรดด้วยน้ำเหลือใช้มากเกินไป ดินอาจเกิดปัญหาอุดตัน เนื่องจากปริมาณแร่ธาตุและเกลือที่ผสมมากับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด
  • เลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เป็นมิตรและย่อยสลายได้ในธรรมชาติเพื่อหลีกเลี่ยงการปล่อยมลพิษสู่ธรรมชาติ
  • ใช้ Grey water กับพืชภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการสะสมของแบคทีเรียและลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ส่วนที่ดีที่สุดของพืชที่ควรรด คือ บริเวณที่ใกล้รากที่สุด

Coffee น้ำกาแฟ (หรือกากกาแฟ)

กากกาแฟ และ น้ำกาแฟที่คุณทานไม่หมดก็สามารถใช้เป็นปุ๋ยได้

ข้อดี

  • ตัวกาแฟประกอบด้วยไนโตรเจนประมาณ 2% ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีประโยชน์กับการเจริญเติบโตของพืช
  • ลด food waste

ข้อควรระวัง

  • เจือจางกาแฟทุกครั้งก่อนนำมารดต้นไม้ สัดส่วนกาแฟควรเป็น 1 ส่วน ต่อน้ำ 4 ส่วน
  • กาแฟส่วนมากมักมีสภาพเป็นกรด โดยมี pH ประมาณ 5.2 ถึง 6.9 ขึ้นกับชนิดและกรรมวิธีในการผลิต ดังนั้นจึงควรใช้กาแฟกับพืชที่ชอบความเป็นกรด เช่น กุหลาบ ไฮแดรนเยีย ว่านหางจระเข้
  • กาแฟที่จะนำมารดต้นไม้ ควรเป็นกาแฟผสมน้ำเท่านั้น ไม่ควรนำกาแฟที่ผสมนม น้ำตาล ครีมเทียมมารดต้นไม้
นมเหลืออย่าทิ้ง

Milk นม

นมที่ทานไม่หมด รวมถึงนมที่เกินวันหมดอายุที่ระบุไว้บนผลิตภัณฑ์แต่ยังไม่เน่าเสีย สามารถนำมารดต้นไม้ได้

ข้อดี

  • ในนม มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์กับพืช และ สารฆ่าเชื้อซึ่งช่วยในการฆ่าแมลง
  • ในนม มีแคลเซียมสูง ซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างผนังเซลให้กับพืช ทำให้พืชเติบโตและมีอายุยืนยาว
  • ในนม มีโปรตีน น้ำตาล และ วิตามินบี ซึ่งเป็นส่วนช่วยหลักในออกดอก ออกผลของพืช
  • ลด Food Waste

ข้อควรระวัง

  • ไม่ควรใช้นมผง หรือ น้ำผสมนมผงรดต้นไม้ เนื่องจากอาจก่อให้เกิดโรคพืช เช่น โรคใบจุดพืช
  • เจือจางนมทุกครั้งก่อนนำมารดต้นไม้ สัดส่วนนม ควรเป็น 1 ส่วน ต่อน้ำ 1 ส่วน เพราะนมมีส่วนประกอบของไขมัน ซึ่งสามารถไปอุดกั้นการดูดซึมน้ำของพืช
  • การรดต้นไม้ด้วยนมมากเกินไป อาจเกิดกลิ่นไม่พึ่งประสงค์ ซึ่งเกิดจากการเน่าเสียของไขมันในนม

Water from Washing Rice นำ้ซาวข้าว

น้ำที่เหลือจากการล้างข้าว หรือ หุงข้าวช่วยบำรุงพืชได้

ข้อดี

  • น้ำข้าวช่วยเสริมสร้างคาร์โบไฮเดรต หรือ น้ำตาลโมเลกุลคู่ให้กับพืช แบคทีเรียในดินสามารถเปลี่ยนน้ำตาลเหล่านี้ให้เป็นสารอาหารที่พืชจะกักเก็บไว้ได้
  • น้ำข้าว มีแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และ โพแทสเซียม ที่ล้วนมีประโยชน์กับการเจริญเติบโตของพืช

ข้อควรระวัง

  • น้ำซาวน้ำที่รดลงบนพืช ควรมีอุณหภูมิห้อง ระวังการใช้น้ำร้อน เพราะ อุณหภูมิร้อนอาจทำลายแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในดิน

จะเห็นได้ว่า นอกจากน้ำธรรมชาติ ยังมีน้ำรีไซเคิลทางเลือกมากมาย ที่อาจมีประโยชน์กับพืช และ กระเป๋าสตางค์ของคุณ หากแต่จะต้องศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนเลือกใช้

เราเริ่มได้จากสิ่งที่ง่ายและก็เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเราก่อน อาจเริ่มจากกากกาแฟดริป หลังจากที่เราชงดื่ม หรือไม่ก็น้ำซาวข้าว เราใส่ถังเก็บไว้เพื่อนำไปรดต้นไม้ ประหยัดทั้งเงิน งามทั้งต้นไม้ :)

Wednesday 15 September 2021

จุลินทรีย์ชั้นสูง|มันคือเห็ดหรือเป็นมากกว่า...

 โลกแห่งจินตนาการของมนุษย์มันไร้ขีดจำกัดจริงๆ ศิลปินชาวอเมริกัน Philip Ross ช่างแกะสลัก นักออกแบบและผู้ร่วมก่อตั้ง MycoWorks ผู้นำนวัตกรรมทางชีวภาพมาผสมผสานกับงานศิลป BIO-ART ได้เปิดโลกในอีกมุมหนึ่งที่เชื่อว่าน้อยคนนักจะนึกถึง หรือจินตนาการออกมาได้

myco-design

เขาสร้างสรรงานศิลปจาก เห็ด (Mushroom) พืชชั้นต่ำสกุล Fungi จากความช่างสังเกตุและการศึกษาค้นคว้าทำความเข้าใจวงจรชีวิตของเห็ด เขาได้พบความอัศจรรย์ของธรรมชาติของพืชตระกูลเห็ดรา กระบวนการก่อตัวเจริญเติบโตสร้างเส้นใย ขยายพันธ์และเพิ่มมวลของตัวมัน รวมทั้งความยึดหยุ่นสูง การฟอร์มตัวสร้างรูปทรงได้ไร้ขอบเขต แถมยังทานทนต่อสภาวะแวดล้อมที่มันอาศัยอยู่
จากจุดเริ่มต้นฟิลลิปใช้เวลาอีกเป็นหลายปี ศึกษาต่อยอดเพิ่มความรู้ความเข้าใจเรื่องศาสตร์ของเห็ดรา Mycology ผนวกกับความอัจริยะทางด้านดีไซน์ และงานสถาปัต Architectural Design ในที่สุด เมื่อเวลาผ่านไปมันก็ลงตัวออกมาเป็น "MycoWorks" นิยามที่เขาใช้เรียกผลงานการรวมศาสตร์ของ Mycology กับศิลปกรรม สร้างสรรออกมาเป็น Architectural Innovation & Design อันลงตัว

เห็ด (Mushroom) คือ ชีวอินทรีย์ (Living Micro-organism) จัดอยู่ในอาณาจักรฟันไจ (Fungi Kingdom) ซึ่งก็ที่จริงมันก็คือ เชื้อรา ชนิดหนึ่ง เป็นพืชชั้นต่ำตระกูลเดียวกัน ไม่สามารถสร้างอาหารเองได้ ต้องใช้จุลินทรีย์เป็นตัวช่วยย่อยสลายอินทรีย์สารที่อยู่รอบตัวมันมาเพื่อใช้เป็นอาหาร แต่อาจมีวิวัฒนาการขั้นสูงกว่า มันสามารพัฒนาเป็นดอก และออกผล มาเป็นกลุ่มก้อน มีมวลมากพอที่ให้เราเห็นด้วยตาเปล่า หลายชนิดนำมาบริโภคได้ แต่หลายชนิดก็มีพิษร้ายแรง ถ้าบริโภคเข้าไปอาจเป็นอัตรายถึงแก่ชีวิต เห็ดราที่เราคุ้นเคยกันดีก็คงเป็นเห็ดฟาง เห็ดหอม เห็ดนางฟ้า เห็ดเข็มทอง เป็นต้น

Mycology the study of fungi, a group that includes the mushrooms and yeasts. Many fungi are useful in medicine and industry. Mycological research has led to the development of such antibiotic drugs as penicillin, streptomycin, and tetracycline, as well as other drugs, including statins (cholesterol-lowering drugs). Mycology also has important applications in the dairy, wine, and baking industries and in the production of dyes and inks. Medical mycology is the study of fungus organisms that cause disease in humans.

จุดเริ่มต้น

ฟิลิปศิลปินที่มีดีกรีจบ ด้านศิลปศาสตร์ จาก San Francisco Art Institute และก็ทำงานในแวดวงศิลปได้เปิดตัวงานออกแบบที่น่าขนลุก แต่ก็สร้างชื่อให้เขาเป็นที่รู้จัก เขาสร้างสรรชิ้นงาน เลียนแบบ ซากเครื่องบิน PANAM Flight103 ที่ถูกยิงตกที่ Lokerbie, Scotland ด้วยเศษวัสดุเก่า เศษของเหลือใช้และที่ถูกทิ้ง เพื่อนำมันมาออกแสดงในนิทรรศการ

ชิ้นงานของเขาที่อาจดูธรรมดาแต่กลับไม่ธรรมดา เพราะเขาได้เติมสปอร์ของเห็ดเป๋าฮื้อลงไป พร้อมด้วยอาหารเลี้ยงเชื้อจำนวนหนึ่ง ผลลัพธ์ที่ได้ก็คืองานแสดงที่มีชีวิต ตลอดระยะเวลา 5 สัปดาห์ของนิทรรศการ ผู้เข้าชมต่างได้เห็น ตัวงานแสดงค่อยๆเปลี่ยนรูปลักษณ์ และรูปทรง จากการที่เห็ดขยายพันธ์ กิน หรือก็คือย่อยสลาย ซากเครื่องบินจำลอง ออกดอกเห็ด ขยายสปอร์ ขยายตัวกินพื้นที่เพิ่มไปทีละเล็กละน้อย จนชิ้นงานเดิมเปลี่ยนโฉมโดยสิ้น (เหตุการณ์ที่ปกติ มันก็ดำเนินตามครรลองของธรรมชาติอยู่แล้ว)

mycoworks

แต่งานที่ทำให้โลกรู้จักศิลปินผู้นี้ ก็คงเป็นตอนที่เขานำผลงานที่เกิดจาก Mycotectural Alpha ก้อนอิฐที่พัฒนาจากเชื้อราที่เขาค้นพบ ออกแสดงในงานศิลปะที่พิพิธสถาน Düsseldorf ในเยอรมันนี

เรือนรับรองหลังจิ๋ว Teahouse ขนาด ราว 2x2 เมตร ที่สร้างขึ้นมาเปิดให้คนเข้าชมสัมผัสทดสอบ และก็เข้าไปนั่งชมด้านในได้ ละไฮไลท์ของมัน คือเขาให้คนเข้าไปนั่งจิบชา ชาที่ชงมาจากก้อน(เห็ด)อิฐ วัสดุตัวเดียวกับที่เขากำลังนั่งอยู่ภายใต้หลังคาของมัน

อิฐของฟิลิปเกิดจากการนำสปอร์ของเห็ดราชนิดนึง ใส่เข้าไปในแม่พิมพ์ที่อัดด้วยขี้เลื่อยที่ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยการพาสเจอไรซ์ โดยเมื่อเห็ดราย่อยสลายขี้เลื่อยไปเป็นอาหาร สร้างพลังงานและเติบโดขยายตัวในแม่พิมพ์ที่เขาจัดเตรียมขึ้นมา จนได้โครงข่ายเนื้อเยื่อ (หรือ mycelium) ขยายตัวอัดแน่นเต็มแม่พิมพ์ ภายในเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ชิ้นงานที่ได้ออกมาเป็นอิฐมวลเบา มีความแข็งแรง ทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิร้อนหนาวรุนแรง เป็นฉนวนชั้นดี

mycotecture

มันเป็นนวัตกรรมทางด้านวัสดุทางเลือก ของอุตสาหกรรมก่อสร้างโลกในอนาคตเลยก็ว่าได้ ความยืดหยุ่นของประโยชน์ใช้สอย ความแข็งแรง ที่แกร่งกว่าคอนกรีต (วัดสุทนทานถึงขนาดกระสุนปืนขนาด 0.38 ไม่สามารถยิงทะลุผ่านอออกมาได้) กันน้ำได้และไม่ลามไฟ แถมยังมีความเป็นฉนวน ตัววัสดุไม่ขึ้นรา(ถ้าไม่คิดว่าตัวมันก็ทำมาจากเชื้อรา 😀) และไม่เป็นพิษต่อมนุษย์สัตว์ และปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม … มันเป็นวัสดุรักษ์โลกโดยแท้ ความเป็นไปได้ในการใช้ประโยชน์ นอกจากในวงการก่อสร้างแล้ว ยังมีโอกาสนำวัสดุตัวนี้ไปใช้ประโยชน์ได้อีกหลากหลาย

art งานศิลปร่วมสมัย .. ล้ำสมัย

ในที่สุด เขาก็พัฒนาการใช้งานให้เข้าใกล้ตัวมากขึ้น mycelium ได้ถูกพัฒนาต่อยอดไป ทักทอเป็นแผ่นหนังให้ความรู้สึกและผิวสัมผัสเหมือนหนังวัวชั้นดี รอยย่นของผิวหนังที่แตกต่างกันไป ไม่เท่ากัน ไม่สม่ำเสมอ เหมือนธรรมชาติของหนังสัตว์แท้ไม่ผิดเพี้ยน

myco-furniture *by MYCOWORKS.COM

และจุดสูงสุดก็ที่ล่าสุดทาง Hermès ให้ความสนใจนำไปทำเป็นกระเป๋า Victoria Bag ใช้วัสดุใหม่ในชื่อว่า Sylvania เป็นการผสมผสานวัสดุธรรมชาติกับไบโอ-วิศวกรรมโดยนำแผ่นหนัง Mycelium เป็นส่วนประกอบหลัก ได้กระเป๋าใบสวยงามสง่า สมกับการเป็นวัสดุ BIO-INNOVATION อย่างแท้จริง

 

แหล่งข้อมูลอ้างอิง
AltaOnline.com
Vice.com
Britanica.com
MYCOWORKS

image

ติดตาม GREENTIPS ทาง 〜
𝕗𝕒𝕔𝕖𝕓𝕠𝕠𝕜 : BIO100
𝕚𝕘 : instagram.com/bio100plus
🆔 ʟɪɴᴇ : @bio100
🅱logger : bio100plus
🌐 : bio100percent 



Monday 13 September 2021

พลังงาน(ลม)แห่งอนาคต

คงไม่มีใครไม่รุ้จัก กังหันลม หรือ วินด์มิลล์ (WINDMILL) ในประเทศไทย บ้านเรา สมัยก่อนเราก็คงจะพบเห็นกันได้บ่อยตามหัวไร่ปลายนา ที่ชาวบ้านสร้างเอาไว้ใช้เพื่อวิดน้ำเข้าท้องนา ไม่ต้องพึ่งพลังงานจากไฟฟ้า ซึ่งเมื่อก่อน หลายพื้นที่ทั่วไทย ก็ไม่มีไฟฟ้าใช้


เดี๋ยวนี้อาจหายไปแล้ว เพราะส่วนใหญ่ก็มีไฟฟ้าเข้าถึงกันแทบจะทุกครัวเรือน และแม้ที่ห่างไกลและยังไม่มีไฟเข้าไปถึง ต่างก็หันมาใช้พลังแสงอาทิตย์เป็นพลังงานทางเลือก ซึ่งนับวันจะมีต้นทุนถูกลง และติดตั้งก็ง่าย

ส่วนต่างประเทศ ที่จริงก็ยังมีแพร่หลายในประเทศแถบยุโรป โดยเฉพาะที่นี่ เป็นสัญลักษณ์คู่ประเทศเลย ประเทศ Holland หรือเปลี่ยนชื่อมาเป็น Netherlands ถึงวันนี้ ใครเคยไปเที่ยวหรือมีเพื่อนไปมา บ่อยครั้งก็มักจะซื้อกังหันลมอันจิ๋วติดมือมาเป็นของฝาก

ปัจจุบันมี การสร้างฟาร์มพลังงานลมเชิงอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ นอกชายฝั่งกว่า 162 แห่ง และยังมีที่อยู่ระหว่างก่อสร้างอีก 26 แห่ง รวมกันสามารถผลิตพลังงานได้มากถึง 5,206 MW เฉพาะในปี 2020

ตัวอย่างนึงของนวัตกรรม โครงการหนึ่งที่น่าสนใจมาก เพราะมันเป็นต้นแบบที่มีการสร้าง Offshore Wind Turbine ขนาดใหญ่ โดยไม่ได้ฝังเสาลงไปที่ชั้นหินใต้ทะเล ตัวกังหันลมที่สูงกว่า 175 เมตรจากผิวน้ำ (และมีเสาหรือทุ่นจมอยู่ใต้น้ำ 78 เมตร ถูกยึดให้ตั้งฉากและอยู่กับที่โดยเคเบิลใต้น้ำหลายเส้น ที่ไปลากไปยึดกับฝั่ง หรือไม่ก็ลากลึกไปยึดกับพื้นหินใต้ทะเลที่ลึกลงไปมากได้

โครงการกังหันลมต้นแบบนี้ เหมาะที่จะใช้ห่างชายฝั่งไกลออกไปมากๆ ที่ซึ่งลมแรงมากกว่าพื้นที่ทะเลไกล้ชายฝั่ง ทำให้มีโอกาสจะเก็บเกี่ยวพลังงานได้มากกว่าแบบเก่าหลายเท่าตัว

ปกติกังหันลม Offshore Wind Turbine ทั่วไป จะต้องติดตั้งไม่ห่างออกจากชายฝั่งเกินกว่า 32 km เพื่อให้ทะเลไม่ลึกเกินไป วิศวกรสามารถฝังตอม่อใต้ทะเล เพื่อเป็นฐานตั้งเสากังหันได้

จากตัวอย่างที่ Hywind เพียงที่เดียว ทั้งระบบมีกังหันลมแบบใหม่เพียง 5 ชุด และปัจจุบันด้วยประสิทธิภาพเพียง 57.1% สามารถให้พลังงานแก่บ้านเรือนกว่า 36,000 หลังในประเทศอังกฤษ

กำเนิดของกังหันลม

มีข้อมูลสนับสนุนว่า นักคณิตและวิศวกรชาวกรีกโบราณ มีการพูดถึงต้นแบบของกังหันลมในช่วงต้นศตวรรษที่ 1 ซึ่งตอนนั้นมันดูยังไม่คล้ายกังหันลมปัจจุบัน และการใช้ประโยชน์หลักของมันก็ตรงไปตรงมา เขาพัฒนามันขึ้นมาเพื่อให้คันชักที่ถูกทำให้โยกขึ้นลง ไปดันกระบอกสูบเพื่อปั๊มลมจากกระบอกออก ไปเป่าเครื่องดนตรี Organ เพื่อให้บรรเลงเป็นเสียงเพลง

ผ่านไปอีกหลายร้อยปี จนย่างเข้าที่ศตวรรษที่ 9th/10th มีการพัฒนารูปแบบ และเริ่มนำกังหันลมไปใช้ประโยชน์จริงจัง จนในที่สุดมันก็และแปรสภาพมา อยู่ในรูปลักษณ์ปัจจุบันที่เราคุ้นเป็นหน้ากัน

รุ่นแรกๆ ตัวใบพัดส่วนใหญ่ถูกสร้างมาจาก ใบหญ้านำมาสานเป็นผืน หรือใช้ผ้าใบเรือ มาเย็บติดกับโครงไม้ หรือโครงเหล็ก ส่วนตัวกำเนิดพลังงานก็มาจากการนำระบบสายพานและมูลี่มาใช้เชื่อมโยงการหมุนของแกนของใบพัด กับการหมุนเครืองกำเนิดพลังงาน

เบื้องต้นก็เพื่อต่อไปใช้วิดน้ำ ฉุดน้ำเข้าพื้นที่ไร่นา เพื่อการชลประทาน ใช้เพื่อทุ่นแรงทำ โม่แป้งหรือเมล็ดพันธ์ซีเรียล ในการแปรรูปเกษตรเบื้องต้น และในที่สุด มันก็เป้นที่นิยม และก็มีการสร้างขึ้นมากมาย เริ่มจากทางแถบตะวันออกกลาง เอเซียกลาง และขยายการใช้งานไปที่ยุโรป ในที่สุด ก็มีการนำไปแนะนำ และก็สร้างเพื่อใช้งานแพร่หลายในจีน อินเดีย และก็เอเซียในที่สุด


Horizontal vs. Verticle Windmill

กังหันลมแบ่งได้ออกเป็น 2 ประเภทหลัก โดยดูที่แกนหมุน (ตัวกำเนิดพลังงาน) ที่ใช้เพื่อขับเคลื่อนตัวกำเนิดพลังงาน โดยถ้าแกนหมุนมีการวางขนานราบไปกับพื้น แนวเดียวกับแกนของใบพัด มันก็คือแบบ Horizontal เป้นแบบที่กำเนิดก่อน และก็เป็นแบบที่นิยมและก็ใช้แพร่หลาย ตังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เราสามารถพบเห็นได้ทั่วไป ทั้งแบบเก่าหรือรุ่นใหม่ทันสมัย ข้อดีของมัน คือว่ามันให้พลังงานมากกว่า มีประสิทธิภาพสูง สร้างพลังงานจากลมได้ในอัตราที่ดีกว่า แต่รูปแบบของมัน ทำให้ต้องมีขนาดที่ใหญ่พอสมควร ทั้งขนาดโครงสร้าง ความสูงจากพื้นดิน ใบพัดและก็เ สา นอกจากนั้น การติดตั้งเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เราต้องนำมันไปติดตั้งในสถานที่มีลมแรงเฉลี่ยตลอดทั้งปี และสม่ำเสมอ ถึงจะให้พลังงานคุ้มค่ากับการลงทุน ช้อเสียสำคัญอีกอย่าง คือการบำรุงรักษาก็ยาก เพราะส่วนใหญ่อยู่สูง การทำงานลำบาก และมีความเสี่ยง

Verticle กังหันลมแบบนี้ จะมีแกนหมุนวางตั้งฉาก (or perpendicular 90 degree) ไปกับพื้น หลักๆ ก็อยู่ในใจกลางของเสาที่ตั้ง ข้อดีของกังหันแบบนี้ คือมันไม่ต้องมีขนาดใหญ่ หรือสูงมากนัก มีน้ำหนักน้อย ต้องการพื้นที่ในการติดตั้งและปฎิบัติงาน (operational footprint) ต้ำ การติดตั้งก็ง่าย เสียงก็ไม่ดัง เหมาะกับการนำไปใช้ในบ้านเรือน หรือแหล่งชุมชน แม้กระทั่งบนหลังคาอาคารทั่วไป ที่สำคัญ มันสามารถหมุน (กำเนิดพลังงานโดยลม) ได้ง่าย แม้ด้วยแรงลมเบาเฉื่อย ตัวใบพัดที่ถูกออกแบบให้หมุนได้ด้วย momentum ที่ต่ำ ก็สามารถทำงานได้ดี มีประสิทธิภาพพอประมาณ ส่วนการซ่อมแซมหรือบำรุงรักษาก็ง่าย เพราะมันมีขนาดไม่ใหญ่มาก เข้าถึงง่าย และมันก็ไม่เสียหายง่าย เพราะไม่ได้มีใบพัดขนาดใหญ่ น้ำหนักมาก คอยสร้างแรงเหวี่ยง สร้างแรงเครียดต่อระบบ และโครงสร้าง เหมือนกับแบบ Horizontall ที่มีใบหนักกว่ามาก

WIND CATCHER - ต่อยอดเทคโนโลยี่ Horizontal Windmill ทั่วไปแต่คูณ 100+ โดยมีการนำกังหันลมขนาดเล็กกว่า 125 ชุด มาวางเป็นโครงข่ายขนาดใหญ่ สูงกว่าตึก 100 ชั้น ( 350 เมตร ) สร้างเป็นระบบ wind turbine ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก มีประเมินกันว่า มันสามารถทำพลังงานได้มากกว่า กังหันลมที่ไหญ่ที่สุดในโลกตอนนี้ (ที่มีกำลังผลิตพลังงานถึง 80 GWh ต่อปี) ถึง 5 เท่า เคล็ดลับของ WIND CATCHER อยู่ตรงที่เขาใช้ประโยชน์จากการที่ระบบใช้ใบพัดกังหันขนาดเล็ก ขนาดเพียง 20 เมตร (สามารถหมุนรอบจัดได้มากกว่าใบพัดยักษ์ ที่ปกติมีขนาดถึง 48 เมตร) ทำให้สร้างพลังงานต่อชุดได้มากกว่าในเชิงประสิทธิภาพ และเชื่อมโยงเข้ากันเป้นโครงข่ายขนาดใหญ่ ทำให้พลังงานโดยรวมที่เกิดจากทั้งระบบสูงมากยิ่งขึ้น

และจุดเด่นในขนาดเล็ก และแยกออกเป็นชุดย่อยๆนี่เอง ทำให้บำรุงรักษาง่าย ซ่อมแ๙มก็ง่าย ถ้าระบบใดระบบหนึ่งจาก 126 ชุด มีปัญหา ก็สามารถเข้าไปซ่อมแซมได้ทีละชุด ทีละระบบ โดยไม่กระทบถึงระบบใหญ่ ที่ยังคงสามารถทำงานสร้างและจ่ายพล้งงานตามปกติ แต่ในขณะที่ระบบ Giant Wind Turbine แบบเดิม เราต้องหยุดการทำงานทั้งระบบเท่านั้น เกิด system downtime ก่อนที่จะเข้าไปซ่อมแก้ไขได้

ส่วนอายุการใช้งาน ทางผู้ผลิต WIND CATCHER แจ้งว่ามันออกแบบมีอายุการใช้งานยาวนานถึง 50 years และพอหมดอายุ ตัวใบพัดที่เป็นอลูมิเนียม สามารถนำไปหลอมละลาย รีไซเคิลเป็น aluminium ingot เพื่อมาใช้ได้ใหม่เกือบ 100% … ต่างกับใบกังหันยักษ์แบบเดิม ( ใบทำจากไฟเบอร์กลาส) ย่อยสลายไม่ได้ ต้องถูกนำไปทิ้ง สุมกองเป็น Landfills ขนาดมหึมา รกผืนโลก สร้างปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมโดยที่ยังหาทางออกไม่ได้ !

จากการประเมินเบื้องต้น Wind Catching System ระบบเดียวสามารถให้พลังงานเพียงพอกับ 100,000 ครัวเรือนทีเดียว

This image has an empty alt attribute; its file name is p-1-90672135-windcatcher-1024x576.jpeg

แหล่งข้อมูลอ้างอิง
Wikipedia
Offshorewind.Biz
BBC News
สารานุกรมไทย
FastCompany
WINDCATCHING

image

ติดตาม GREENTIPS ทาง 〜
𝕗𝕒𝕔𝕖𝕓𝕠𝕠𝕜 : BIO100
𝕚𝕘 : instagram.com/bio100plus
🆔 ʟɪɴᴇ : @bio100
🅱logger : bio100plus
🌐 : bio100percent

โพสต์เด่น

10 ไม้ยืนต้นออกดอกสวย

มาสู้โลกร้อนกันด้วยการ ปลูกต้นไม้ในบ้านกัน นอกจากลดการใช้พลังงานฟอสซิล หันมาใช้พลังงานสะอาด ก็คือช่วยการปลูกต้นไม้ 🌳 🌿 🌱 เพิ่มพื้นท...

โพสต์น่าสนใจ